Bangkok, Thailand


วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

เทือกเขาร็อคกีเมาท์เทน

เทือกเขาร็อคกีเมาท์เทน

เทือกเขาร็อคกีเมาท์เทน มักถูกเรียกว่า "ร็อคกีส์" ซึ่งเป็นแนวเทือกเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกา เทือกเขาร็อคกีทอดยาวถึง 4,800 กิโลเมตร (3,000 ไมล์) จากทางเหนือสุดของ บริติช โคลัมเบียในแคนาดา ไปจนถึงรัฐนิวเม็กซิโก ในสหรัฐอเมริกา

จุดยอดเขาสูงสุด คือ "Mount Elbert" รัฐโคโลราโด สูง 14,440 ฟุต (4,401เมตร)เหนือระดับน้ำทะเล อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา "North America Pacific Cordilera" เทือกเขาร็อคกีส์มีจุดเด่นจากเทือกเขาชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ตรงที่ตั้งอยู่ติดกับฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก

ในทุกๆ ปี นักท่องเที่ยวนับล้านจะเลือกมาชมทิวทัศน์ที่สวยงามเพื่อโอกาสในการพักผ่อนหย่อนใจ ภาษาหลักคือภาษาอังกฤษ แต่ก็มีภาษาสเปนและอเมริกันผสมอยู่ด้วย ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกมาเยี่ยมเยือนที่นี่เพื่อการ ไต่หน้าผา, แค้มปิง, หรือทำกิจกรรมบนภูเขาในช่วงฤดูร้อน

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

แก๊สทาวน์

แก๊สทาวน์


"แกสทาวน์" (Getaway Gastown) ย่านชุมชนแรกของ แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เรียกว่า แก๊สทาวน์ ซึ่งบุกเบิกโดย GASS JACK DEIGHTON ผู้ริเริ่มการเปิดผับขายเบียร์ จนกลายเป็นที่นิยมกันอย่างมากของชุมชนแก็สทาวน์ ที่นี่เป็นย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญของเมืองมาตั้งแต่ในอดีต ซึ่งจะสังเกตเห็นตึกรามบ้านช่องที่ยังคงสภาพตึกเก่าอันงดงามให้ได้ชม และยังมีร้านรวงขายสินค้าเก่าๆ ในรูปแบบเดิมๆ ที่ดูแล้วสวยงามเช่นกัน

และที่ย่านแกสทาวน์ ยังมี นาฬิกาไอน้ำ (Gastown Steam Clock) เรือนแรกของโลก ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหัวมุมถนน เมื่อถึงเวลาจะส่งเสียงหวูด พร้อมกับพ่นไอน้ำออกมาบอกเวลาที่เที่ยงตรง ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันนี้ย่านธุรกิจสำคัญของแวนคูเวอร์จะขยับออกไปยังแหล่งอื่น แล้ว แต่ย่านแกสทาวน์แห่งนี้ ก็ยังคงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากมาย เพราะมีร้านค้าที่ขายของที่ระลึกมากมายให้ได้เลือกซื้อหาเป็นของฝาก

สะพานแขวนคาปิลาโน

สะพานแขวนคาปิลาโน


สะพานแขวนคาปิลาโน สะพานไม้แขวนที่ยาวที่สุดของแคนาดา
ใกล้ๆกับอุทยานสแตนลี่ยังมี สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจใกล้ๆ กันอีก คือบริเวณอ่าวอังกฤษ หรือ English Bay ซึ่งหากใครมีเวลา ขอแนะนำว่าให้แวะไปชื่นชมบรรยากาศของทะเลทั้งชายหาดและสภาพแวดล้อมที่งดงามกันได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดไปเที่ยวชมก็คือ สะพานแขวนคาปิลาโน สะพานไม้เก่าแก่อายุ 200 กว่าปี และเป็นสะพานไม้แขวนที่ยาวที่สุดของแคนาดา มีความยาวถึง 230 ฟุตทอดข้ามเหวลึก เดินข้ามแล้วตื่นเต้นน่าดู

อุทยานสแตนลี่

อุทยานสแตนลี่


อุทยานสแตนลี่ หรือ สแตนลี่ปาร์ค stanley park ถูกจัดให้เป็นอุทยานเมื่อปี1888 อุทยานสแตนลี่นี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองจึงเป็นเหมือนปอดอันยิ่งใหญ่และทรงคุณค่าของเมืองแวนคูเวอร์เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยพื้นที่ 400 เฮคแตร์นั้น มีพืชพันธุ์ป่าฝนจำนวนมากปลูกอยู่ มีตั้งแต่ 5,000 -10,000 ต้น และมีสวนดอกไม้ที่จัดไว้อย่างสวยงามตา มีลากูนอันงดงาม แล้วในอุทยานยังเต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย เป็นอุทยานป่าที่เป็นสถานที่น่าสนใจ เหมาะแก่การมาเดินเที่ยวสูดบรรยากาศแห่งความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมและถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกด้วยก็ คือ เสาโทเท็ม (Totem) ของเผ่าอินเดียนแดงพื้นเมือง เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า ไว้รำลึกประวัติศาสตร์ว่า บริเวณแห่งนี้เคยเป็นที่อาศัยของอินเดียนแดงมาก่อน ซึ่งในแต่ละเสาจะมีรายละเอียด
บรรยายความเป็นมาตั้งไว้ตามจุดต่างๆ ด้วย ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก และเสาโทเท็มและวัฒนธรรมของชาวอินเดียนแดงนี้ ยังมีปรากฏอยู่ตามสถานที่สำคัญๆ ของเมืองหลายแห่ง กลายเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองนี้ด้วย

ชาวเมืองแวนคูเวอร์นิยมมาที่อุทยานสแตนลี่เพื่อใช้เป็นสถานที่พัก ผ่อนหย่อนใจ เดินเล่นออกกำลังกายในช่วงเช้าและเย็นเป็นประจำ ซึ่งทางการแวนคูเวอร์ได้จัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ออกกำลังกาย สนามเด็กเล่น แม้กระทั่งเก้าอี้นั่งพักผ่อนไว้ในทุกจุดของสวน ทำให้ทุกคนได้สัมผัสกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์อย่างเต็มอิ่ม

โรยัลออนทาริโอมิวเซี่ยม

โรยัลออนทาริโอมิวเซี่ยม


โรยัลออนทาริโอมิวเซี่ยม Royal Ontario Museum ตั้งอยู่ในกรุงโทรอนโต ประเทศแคนาดา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญสำหรับอารยธรรมโลกและประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในทวีปอเมริกาเหนือ และใหญ่ที่สุดในแคนาดา มีสิ่งของที่แสดงกว่าหกล้านชิ้น ที่มีชื่อเสียงและนิยมดูกันก็เช่น ไดโนเสาร์ ศิลปกรรมของโลก ไม่ว่าจะเป็นของอัฟริกา เอเชีย หรือยุโรป รวมทั้งประวัติศาสตร์ของแคนาดา เป็นต้น รวมทั้งมีศูนย์วิจัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแคนาดาเช่นกัน

สวนบุชชาร์ต

สวนบุชชาร์ต


สวนบุชชาร์ต Butchart gardens เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของ ทวีปอเมริกาเหนือ และได้รับการตั้งให้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งประเทศแคนาดา (The National Historic Site of Canada) ตั้งอยู่ในเมือง Victoria รัฐ British Columbia ทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา ติดกับรัฐ Washington ของสหรัฐอเมริกา
ประวัติการก่อตั้งสวนบุชชาร์ต ครอบครัวบุชชาร์ตซึ่งได้อพยพมาบุกเบิกที่เมือง วิคตอเรีย แห่งนี้ ตอนนั้นครอบครัวบุชชาร์ตมีกันอยู่ แค่ 2 คน คือตัวสามีชื่อ นายโรเบิร์ต พิม บุชชารต์ และภรรยาคือ นางเจนนี่ บุชชาร์ต (เดิมคือ เจนนี่ ฟอสเตอร์ เคเนดี้) ซึ่งทั้งคู่ย้ายมาจากเมือง ออนตาริโอ้ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแคนาดา พอมาอยู่ที่เมืองวิคตอเรียนี้ ด้วยความที่เป็นคนมีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกล นายโรเบิร์ต ก็คิดทำกิจการปูนซีเมนต์ เพราะลองสำรวจพื้นที่บริเวณอ่าว ท้อด อินเลท (Tod Inled) นี้แล้วมองเห็นว่าเหมาะจะสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ เพราะถ้าเลยไปทางเหนืออีกแค่ประมาณ 14 ไมล์ (ประมาณ 22 กม.) บนคาบสมุทรซานิค (Saanich Peninsula) ก็มีแหล่งหินปูนที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้มากมาย คิดได้ดังนั้นเขาก็เริ่มลงมือทำและนอกจากนี้ทิวทัศน์แถบนี้ก็สวยงาม ถึงจะป็นเวิ้งอ่าวแต่ก็มีที่กำบังลมเป็นทำเลที่เหมาะจะสร้างบ้านลงหลักปักฐานจากนั้นเขาก็เริ่มสร้างบ้านขึ้น และแล้วเสร็จในปี 1904 พร้อม ๆ กับผลผลิตจากโรงงานปูนซีเมนต์ของเขาก็เริ่มบรรทุกใส่เรือแล่นสู่ตลาดการค้า ตั้งแต่ปี 1905 ด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนนางเจนนี่ บุตชาร์ต นั้น เธอก็มีนิสัยชอบอะไรใหม่ ๆ ตัวเธอชอบกิจกรรมผาดโผน เช่น ชอบขี่ม้า ขับเครื่องบิน และยังเคยบินไปกับเพื่อนนักบินชาวฝรั่งเศสที่บินข้ามช่องแคบอังกฤษได้เป็นคน แรกด้วย เธอมีความสามารถหลายอย่างเป็นศิลปินนักวาดภาพสมัครเล่นที่เก่งขนาดได้รับทุนให้ไปเรียนต่อถึงกรุงปารีสแต่ก็ต้องยอมสละไปเพราะเธอเลือกที่จะแต่งงานแล้วตามสามามาอยู่ที่เมืองวิคตอเรีย

เมื่อแรกเริ่มเจนนี่ตั้งใจจะทำสวนนี้เป็นแค่สวนเล็ก ๆ ระหว่างบ้านที่เธออยู่และโรงงานปูนซีเมนต์เพียงเท่านั้น จุดเริ่มต้นของสวนนี้มาจากที่เธอได้รับของขวัญเป็นต้นถั่วและต้นกุหลาบต้นเล็ก ๆ จากเพื่อนแล้วเธอก็ปลูกมันไว้ข้าง ๆ บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จโดยที่เธอก็ไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นจุดกำเนิดของสวนอันสวยงามที่จะมีชื่อเสียง ต่อมาอีกเป็นร้อยปี เมื่อทำสวนได้สวยคนก็พูดกันไปปากต่อปาก (ชาวตะวันตกนิยมการจัดสวนดอกไม้ โดยเฉพาะชาวอังกฤษที่มีประเพณีดื่มชาในสวน) เรื่องราวเกี่ยวกับสวนนี้ก็เริ่มแพร่กระจายขยายวงกว้างพอ ๆ กับการขยายพื้นที่ของสวนไปด้วย นายและนาง บุตชาร์ต เริ่มสนุกกับการต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมชมสวน พวกเขาเลยตั้งชื่อสวนนี้ว่า เบนเวนูโต ซึ่งหมายถึง ยินดีต้อนรับ ในภาษาอิตาเลี่ยน นอกจากต้อนรับให้ชมสวนแล้วสองสามีภรรยายังจัดเลี้ยงน้ำชาแก่ผู้ที่มาชมด้วย เคยมีบันทึกไว้ว่า ในปี 1915 ปีเดียวมีผู้มาเยี่ยมชมกว่าสองหมื่นคนเลยทีเดียว

สวนนี้นับเป็นความสำเร็จของคนทั้งสอง เพราะเมื่อภรรยาคิดจะทำสวน สามีเองก็สนับสนุนด้วยการส่งแรงงานจากโรงงานปูนซีเมนต์ของตัวเองมาช่วยอย่างเต็มที่ ตอนนั้นถ้าใครมาดูก็คงนึกภาพสวนสวยที่สะพรั่งไปด้วยดอกไม้ไม่ออกแน่ ๆ เพราะภาพที่เห็นตอนนั้นมีแต่กองอิฐ หิน แตก ๆ หัก ๆ วางกองเกลื่อนระเกะระกะไปหมด เมื่อพื้นที่แต่เดิมเป็นเหมืองการปรับสภาพให้กลายเป็นสวนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เช่นกำแพงเหมืองที่ดูไม่สวยงามนั้น นางบุตชาร์ตก็คิดแก้ปัญหาด้วยการแขวนพันธุ์ไม้เลื้อยต่าง ๆ อย่างต้นไอฟี่ตามซอกหรือรอยแตกของหินตามกำแพง
เมื่อตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 สวนต้องพบปัญหาอย่างหนักเพราะขาดแรงงานที่จะมาช่วยดูแล และด้วยอายุที่มากขึ้นสุขภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถอย ทั้งนายและนาง บุตชาร์ตต้องย้ายหลบหนีสงครามไปหาที่สงบที่อื่นอยู่ซึ่งต่อมานายบุตชาร์ตก็ ได้เสียชีวิตลงก่อนเมื่อปี 1943 หลังจากนั้นมาอีก 7 ปี นางบุตชาร์ตก็เสียชีวิตตามไป

จากความเสียสละที่ได้สร้างสวนสวยขึ้นมาจนโด่งดัง สร้างคุณูปการให้กับประเทศแคนาดาซึ่งเห็นได้จากยอดนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม ขึ้น ทางการของเมืองวิคตอเรียจึงได้ตอบแทนนายบุตชาร์ตด้วยการมอลกุญแจเมืองโบราณ เป็นเกียรติยศ เพื่อแสดงความเป็นบุคคลสำคัญของเมือง และได้จัดพิธีเฉลิมฉลองให้อย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย ทายาทรุ่นต่อมา คือนาย เอียน รอส ซึ่งเป็นรุ่นหลานได้พัฒนาสวนนี้ต่อ เขามีความคิดที่จะเปิดสวนนี้ในตอนกลางคืนด้วย เพื่อแสดงความสวยงามของสวนในยามราตรีโดยใช้เทคนิคแสงและเงา ปัจจุบัน นายเอียน รอส ได้เสียชีวิตแล้ว เมื่อปี 1997 ต่อมาลูกชายของเขาชื่อ นายคริสโตเฟอร์ รอส ก็ได้สืบทอดกิจการของตระกูล แต่ก็น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นทายาทที่สืบทอดเจตนารมย์และดำเนินกิจการดูแลสวนแห่งนี้ต่อมาจนถึงปัจจุบันก็คือน้องสาวของนายเอียน รอส หรือนางโรบิน ลี คลาร์ค นั่นเอง

สวนนี้มีอายุกว่า 100 ปี โดยฉลองครบร้อยปีกันไปเมื่อ ปี 2004 ถ้านับจนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 105 ปีแล้ว แต่ละปีก็มีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่า 1 แสนคนเลยทีเดียว