สวนบุชชาร์ต
สวนบุชชาร์ต Butchart gardens เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของ ทวีปอเมริกาเหนือ และได้รับการตั้งให้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งประเทศแคนาดา (The National Historic Site of Canada) ตั้งอยู่ในเมือง Victoria รัฐ British Columbia ทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา ติดกับรัฐ Washington ของสหรัฐอเมริกา
ประวัติการก่อตั้งสวนบุชชาร์ต ครอบครัวบุชชาร์ตซึ่งได้อพยพมาบุกเบิกที่เมือง วิคตอเรีย แห่งนี้ ตอนนั้นครอบครัวบุชชาร์ตมีกันอยู่ แค่ 2 คน คือตัวสามีชื่อ นายโรเบิร์ต พิม บุชชารต์ และภรรยาคือ นางเจนนี่ บุชชาร์ต (เดิมคือ เจนนี่ ฟอสเตอร์ เคเนดี้) ซึ่งทั้งคู่ย้ายมาจากเมือง ออนตาริโอ้ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแคนาดา พอมาอยู่ที่เมืองวิคตอเรียนี้ ด้วยความที่เป็นคนมีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกล นายโรเบิร์ต ก็คิดทำกิจการปูนซีเมนต์ เพราะลองสำรวจพื้นที่บริเวณอ่าว ท้อด อินเลท (Tod Inled) นี้แล้วมองเห็นว่าเหมาะจะสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ เพราะถ้าเลยไปทางเหนืออีกแค่ประมาณ 14 ไมล์ (ประมาณ 22 กม.) บนคาบสมุทรซานิค (Saanich Peninsula) ก็มีแหล่งหินปูนที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้มากมาย คิดได้ดังนั้นเขาก็เริ่มลงมือทำและนอกจากนี้ทิวทัศน์แถบนี้ก็สวยงาม ถึงจะป็นเวิ้งอ่าวแต่ก็มีที่กำบังลมเป็นทำเลที่เหมาะจะสร้างบ้านลงหลักปักฐานจากนั้นเขาก็เริ่มสร้างบ้านขึ้น และแล้วเสร็จในปี 1904 พร้อม ๆ กับผลผลิตจากโรงงานปูนซีเมนต์ของเขาก็เริ่มบรรทุกใส่เรือแล่นสู่ตลาดการค้า ตั้งแต่ปี 1905 ด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนนางเจนนี่ บุตชาร์ต นั้น เธอก็มีนิสัยชอบอะไรใหม่ ๆ ตัวเธอชอบกิจกรรมผาดโผน เช่น ชอบขี่ม้า ขับเครื่องบิน และยังเคยบินไปกับเพื่อนนักบินชาวฝรั่งเศสที่บินข้ามช่องแคบอังกฤษได้เป็นคน แรกด้วย เธอมีความสามารถหลายอย่างเป็นศิลปินนักวาดภาพสมัครเล่นที่เก่งขนาดได้รับทุนให้ไปเรียนต่อถึงกรุงปารีสแต่ก็ต้องยอมสละไปเพราะเธอเลือกที่จะแต่งงานแล้วตามสามามาอยู่ที่เมืองวิคตอเรีย
เมื่อแรกเริ่มเจนนี่ตั้งใจจะทำสวนนี้เป็นแค่สวนเล็ก ๆ ระหว่างบ้านที่เธออยู่และโรงงานปูนซีเมนต์เพียงเท่านั้น จุดเริ่มต้นของสวนนี้มาจากที่เธอได้รับของขวัญเป็นต้นถั่วและต้นกุหลาบต้นเล็ก ๆ จากเพื่อนแล้วเธอก็ปลูกมันไว้ข้าง ๆ บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จโดยที่เธอก็ไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นจุดกำเนิดของสวนอันสวยงามที่จะมีชื่อเสียง ต่อมาอีกเป็นร้อยปี เมื่อทำสวนได้สวยคนก็พูดกันไปปากต่อปาก (ชาวตะวันตกนิยมการจัดสวนดอกไม้ โดยเฉพาะชาวอังกฤษที่มีประเพณีดื่มชาในสวน) เรื่องราวเกี่ยวกับสวนนี้ก็เริ่มแพร่กระจายขยายวงกว้างพอ ๆ กับการขยายพื้นที่ของสวนไปด้วย นายและนาง บุตชาร์ต เริ่มสนุกกับการต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมชมสวน พวกเขาเลยตั้งชื่อสวนนี้ว่า เบนเวนูโต ซึ่งหมายถึง ยินดีต้อนรับ ในภาษาอิตาเลี่ยน นอกจากต้อนรับให้ชมสวนแล้วสองสามีภรรยายังจัดเลี้ยงน้ำชาแก่ผู้ที่มาชมด้วย เคยมีบันทึกไว้ว่า ในปี 1915 ปีเดียวมีผู้มาเยี่ยมชมกว่าสองหมื่นคนเลยทีเดียว
สวนนี้นับเป็นความสำเร็จของคนทั้งสอง เพราะเมื่อภรรยาคิดจะทำสวน สามีเองก็สนับสนุนด้วยการส่งแรงงานจากโรงงานปูนซีเมนต์ของตัวเองมาช่วยอย่างเต็มที่ ตอนนั้นถ้าใครมาดูก็คงนึกภาพสวนสวยที่สะพรั่งไปด้วยดอกไม้ไม่ออกแน่ ๆ เพราะภาพที่เห็นตอนนั้นมีแต่กองอิฐ หิน แตก ๆ หัก ๆ วางกองเกลื่อนระเกะระกะไปหมด เมื่อพื้นที่แต่เดิมเป็นเหมืองการปรับสภาพให้กลายเป็นสวนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เช่นกำแพงเหมืองที่ดูไม่สวยงามนั้น นางบุตชาร์ตก็คิดแก้ปัญหาด้วยการแขวนพันธุ์ไม้เลื้อยต่าง ๆ อย่างต้นไอฟี่ตามซอกหรือรอยแตกของหินตามกำแพง
เมื่อตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 สวนต้องพบปัญหาอย่างหนักเพราะขาดแรงงานที่จะมาช่วยดูแล และด้วยอายุที่มากขึ้นสุขภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถอย ทั้งนายและนาง บุตชาร์ตต้องย้ายหลบหนีสงครามไปหาที่สงบที่อื่นอยู่ซึ่งต่อมานายบุตชาร์ตก็ ได้เสียชีวิตลงก่อนเมื่อปี 1943 หลังจากนั้นมาอีก 7 ปี นางบุตชาร์ตก็เสียชีวิตตามไป
จากความเสียสละที่ได้สร้างสวนสวยขึ้นมาจนโด่งดัง สร้างคุณูปการให้กับประเทศแคนาดาซึ่งเห็นได้จากยอดนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม ขึ้น ทางการของเมืองวิคตอเรียจึงได้ตอบแทนนายบุตชาร์ตด้วยการมอลกุญแจเมืองโบราณ เป็นเกียรติยศ เพื่อแสดงความเป็นบุคคลสำคัญของเมือง และได้จัดพิธีเฉลิมฉลองให้อย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย ทายาทรุ่นต่อมา คือนาย เอียน รอส ซึ่งเป็นรุ่นหลานได้พัฒนาสวนนี้ต่อ เขามีความคิดที่จะเปิดสวนนี้ในตอนกลางคืนด้วย เพื่อแสดงความสวยงามของสวนในยามราตรีโดยใช้เทคนิคแสงและเงา ปัจจุบัน นายเอียน รอส ได้เสียชีวิตแล้ว เมื่อปี 1997 ต่อมาลูกชายของเขาชื่อ นายคริสโตเฟอร์ รอส ก็ได้สืบทอดกิจการของตระกูล แต่ก็น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นทายาทที่สืบทอดเจตนารมย์และดำเนินกิจการดูแลสวนแห่งนี้ต่อมาจนถึงปัจจุบันก็คือน้องสาวของนายเอียน รอส หรือนางโรบิน ลี คลาร์ค นั่นเอง
สวนนี้มีอายุกว่า 100 ปี โดยฉลองครบร้อยปีกันไปเมื่อ ปี 2004 ถ้านับจนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 105 ปีแล้ว แต่ละปีก็มีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่า 1 แสนคนเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น