Bangkok, Thailand


วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

Vincent - Don Mcclean

Vincent - Don Mcclean


Don Mclean แต่งเพลง American Pie ขึ้นจนฮิตติดอันดับ 1 ในอเมริกาปี 1972 ติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ และในออสเตรเลียอีก 5 สัปดาห์ แต่เพลง Vincent กลับไปขึ้นอันดับ 1 ที่อังกฤษแทน และได้รับการตอบรับจากเวทีโลกมากกว่า เนื้อหาของเพลงบรรยายเกี่ยวกับภาพวาดของศิลปินชาวดัชต์ วินเซนต์ แวน โกะห์ ที่แฝงเนื้อหาประวัติของท่านตั้งแต่เกิด - ช่วงรุ่งโรจน์ จนเสียชีวิต อย่างเนื้อเพลง "paint your palette blue and gray" ก็จะรู้ว่า วินเซนต์ใช้สีสันได้อย่างงดงามในภาพวาดของเขา อีกประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า"How you suffered for your sanity" หมายถึงภาวะแปรปรวนทางจิตใจและความคิดของศิลปินท่านนี้ในช่วงชีวิตหนึ่งของเขา และ "They did not listen they're not listening still" เป็นการบอกเล่าถึงผู้คนรอบข้าง ที่ไม่เคยมองเขาในแง่ดี แถมยังกลับวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบอีกด้วย เสียงนุ่มๆเศร้าๆของเขาในเพลงนี้เหมาะกับเขามาก ตอนเพลงนี้ดังใหม่ๆ พิพิธภัณฑ์ภาพวาดของวินเซนต์ แวนโกะห์ เปิดแต่เพลงนี้ทั้งวัน

..มีใครรู้บ้างว่า Killing me softly with his song ของ Roberta Flack นั้นผู้ชายคนที่ถูกอ้างถึงในเนื้อร้องเพลงนี้ก็คือเจ้าของเพลงนี้นั่นเอง

วินเซนต์ แวน โก๊ะ ถูกยกย่องให้เป็นจิตรกรชาวดัชท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าชื่อเสียง ของเขาเพิ่งจะมาโด่งดังเอาในช่วง 3 ปีสุดท้ายของชีวิตการเป็นจิตรกรตลอด 10 ปี ก็ตาม แต่เขาก็ได้สร้างอิทธิพลต่อ ศิลปะแบบอิมเพรสเช่นนิสท์ แบบโมเดินท์ อารต์ เอาไว้มากมาย สร้างผลงานภาพเขียนสีน้ำมันกว่า 800 ภาพ และภาพวาดอีกกว่า 700 ภาพ ซึ่งตลอดชีวิตของเขานั้นมีเพียงภาพเดียวที่ขายได้ ความเจ็บป่วยทางสมอง และจิตใจของ แวน โก๊ะนั้นแสดงออกมาทางภาพที่เขาเขียน ด้วยการใช้สีอันร้อนแรง การปัดพู่กันแบบหยาบๆ และรูปแบบของลายเส้นที่ใช้จนในที่สุดก็ได้ผลักดันให้เขา จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย

วินเซนต์ แวน โก๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ปี ค.ศ. 1853 ที่ซันเดิรท์ ย่านบราแบรนท์ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ วินเซนต์เป็นบุตรชายคนโต บิดาเป็นนักบวชนิกาย โปรแตสแตนท์ เมื่อแวนโก๊ะอายุได้ 16 ปี เขาได้ไปฝึกงานขายภาพศิลปะที่ฮูเก้นท์ เขาทำงานขายภาพทั้งในลอนดอน และปารีสไปจนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1876 แวน โก๊ะก็เริ่มตระหนักว่า เขาไม่ชอบงานขายภาพที่เขาทำอยู่เลยประกอบกับถูกปฏิเสธความสัมพันธ์จากหญิงที่ตนรัก ทำให้เขาเริ่มทำตัวออกห่างจากผู้คนมากขึ้น และตัดสินใจที่จะออกบวช แต่เขาก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขา ไม่สามารถผ่านการทดสอบให้เข้ามาเป็นนักบวชได้ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นนักเทศน์ไป และในปีค.ศ.1878 เขาได้เดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบลเยี่ยมเพื่อทำการ เผยแพร่ศาสนา โดยพกพาเอาความยากจนค่นแค้นไปตลอดการเดินทางจากการเดินทาง ครั้งนี้ แวนโก๊ะ ได้มีปากเสียงกับนักเทศน์ผู้อาวุโส ทำให้เขาถูกขับออกจากกลุ่มในปี ค.ศ.1880 ในสภาพของคนสิ้นไร้ และสูญเสียความเชื่อของตนไป เขาจมอยู่กับ ความผิดหวัง และได้เริ่มเขียนรูป แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถที่จะ เรียนรู้การเขียนภาพด้วยตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปบรัสเซลเพื่อเรียน การเขียนภาพ
ในปี ค.ศ.1881 แวน โก๊ะได้กลับมาทำงานที่ฮูเก้นท์อีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มทำงานกับ ช่างเขียนภาพทางภูมิศาสตร์ ที่ชื่อ อันตน มัวร์ ฤดูร้อนของปีถัดมาได้เริ่มการทดลอง การเขียนภาพด้วยสีน้ำมัน และด้วยเสียงเรียกร้องภายในจิตใจของ แวน โก๊ะ ให้ไปใช้ ชีวิตตามลำพังอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้านของชาวดัชท์ เพื่อเริ่มการเขียนภาพทิวทัศน์ที่งดงามตามท้องที่ต่างๆ เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับ การเขียนถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขา ในปี ค.ศ.1883 เขาได้สร้างงานเขียนภาพชิ้นแรก ขึ้นมา โดยให้ชื่อภาพว่า " โปเตโต อีทเตอร์ "

เมื่อความเหงาและความอ้างว้างเริ่มเข้ามาแกาะกุมจิตใจของ แวน โก๊ะ เขาจึงออกจาก หมู่บ้านและเข้าศึกษาต่อที่ แอนท์เวอป์ ในเบลเยี่ยม แต่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะปฏิบัติ ตามกฎของการเรียนที่นั่นมากนัก ช่วงที่เรียนอยู่ที่แอนเวอป์ เขาได้รับแรงบันดาลใจ จากจิตรกรที่ชื่อ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และได้เริ่มสนใจภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นด้วย ในที่สุด เขาก็ได้เลิกเรียน เพื่อไปยังปารีส ทีนั่นเขาได้พบกับ เฮนรี่ เดอ ตัวรูส และจอร์จีนส์ รวมทั้งศิลปินอิเพราสเช่นนิสท์อีกหลายคน เช่น คามิล ปิสซาโร โซรัส และคนอื่น ๆ การใช้ชีวิต 2 ปีเต็มที่ปารีสนั้น ได้ขัดเกลาฝีมือในการเขียนภาพของ แวน โก๊ะ ให้ เฉียบคมยิ่งขึ้น เขาเริ่มใช้สีสันที่มีชีวิตชีวา และไม่ยึดติดอยู่กับการเขียนภาพแบบเก่าๆ

วินเซนต์ แวน โก๊ะ ใช้ชีวิตในตัวเมืองปารีส ได้สักพักก็เริ่มเบื่อ เขาจึงออกจากปารีส ไปในปี ค.ศ.1888 เพื่อไปยังเมืองอาเรสทางตอนใต้ของฝรั่งเศษ ที่เมืองอาเรสนั้น
แวน โก๊ะได้เช่าบ้านหลังหนึ่ง แล้วตกแต่งบ้านด้วยสีเหลืองทั้งหมด เขาหวังที่จะตั้ง กลุ่มศิลปินอิมเพรสเช่นนิสท์ขึ้น ในเดือนตุลาคม จอร์จีนส์ได้มาอยู่ร่วมกับเขาแต่ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ต้องขาดสะบั้นลงในคืนวันคริสตมาส อีฟ จอร์จีนส์ ได้โต้เถียงอย่างรุนแรงกับแวน โก๊ะ ทำให้แวน โก๊ะ เกิดบ้าเลือดขึ้นมาแล้วตัดใบหู ของตัวเอง ทำให้จอร์จีนส์จากไป และตัวของเขาเองต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การแสดงอาการต่างๆ ของแวน โก๊ะ นั้น ทำให้เห็นถึงสภาพจิตใจและประสาทที่ผิดปกติ ในที่สุดเขาก็ต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า เป็นเวลา 1 ปีเต็ม เมื่อ แวน โก๊ะ ออกจากโรงพยาบาล เขาได้ไปอาศัยอยู่กับศิลปิน นักฟิสิกส์ ได้ประมาณ 2 เดือน และในวันที่ 27 กรกฎาคมของปี ค.ศ.1890 เขาได้ยิงตัวเอง และเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา

ช่วงชีวิตของ แวน โก๊ะตอนที่อยู่ที่อาเรสนั้น ได้สร้างผลงานเขียนภาพที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ มากมาย เขาเขียนภาพของธรรมชาติอันงดงาม ภาพทุ่งหญ้ายามต้องแสงอาทิตย์ ภาพของดอกไม้นานาชนิด และภาพดอกไอริสที่มีชื่อเสียงนั้นสามารถขายได้ถึง 53.9 ล้านดอลลาร์ในเวลานั้น





Vincent - Don Mcclean




Starry, starry night
Paint your palette blue and gray
Look out on a summer's day
With eyes that know the darkness in my soul
Shadows on the hills
Sketch the trees and the daffodils
Catch the breeze and the winter chills
In colors on the snowy linen land

Now I understand
What you tried to say to me
How you suffered for your sanity
How you tried to set them free
They would not listen they did not know how
Perhaps they'll listen now

Starry, starry night
Flaming flowers that brightly blaze
Swirling clouds in violet haze
Reflecting Vincent's eyes of China blue
Colors changing hue
Morning fields of amber grain
Weathered faces lined in pain
Are soothed beneath the artist's
loving hands

Now I understand
What you tried to say to me
How you suffered for your sanity
How you tried to set them free
They would not listen they did not know how
Perhaps they'll listen now

For they could not love you
But still your love was true
And when no hope was left in sight
On that starry, starry night
You took your life as lovers often do
But I could have told you Vincent
This world was never meant for one as
beautiful as you

Starry, starry night
Portraits hung in empty halls
Frameless heads on nameless walls
With eyes that watch the world and can't forget
Like the strangers that you've met
The ragged men in ragged clothes
A silver thorn on a bloody rose
Lie crushed and broken on the virgin snow

Now I think I know
What you tried to say to me
How you suffered for your sanity
How you tried to set them free
They would not listen they're not listening still
Perhaps they never will

ค่ำคืนพร่างพรายแสงดาวระยับ
คุณระบายสีน้ำเงิน และสีเทาหม่นลงบนผืนผ้าใบของคุณ
เบือนมองออกไปยังทิวาแห่งเดือนคิมหันต์
ดวงตาของคุณหยั่งรู้แม้กระทั่งด้านมืดที่สุดในหัวใจของผม
ร่างเงาลุ่มลึกบนหุบเขาเหล่านั้น
ร่างภาพต้นไม้และมวลดอกแดฟโฟดิล
ร่างลมหนาว และความหนาวเหน็บของคืนเหมันต์
สร้างสีสันลงบนผืนธรณีคลุมด้วยหิมะขาวโพลน

ตอนนี้ ผมเข้าใจแล้ว
สิ่งที่คุณพยายามจะบอกกับผม
ทั้งเรื่องที่คุณต้องทนทุกข์เพียงเพราะคุณรู้มากกว่าใคร
และเรื่องที่คุณพยายามปลดปล่อยวิญญาณของพวกเขา
พวกเขาจะไม่มีวันฟังคุณ พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
บางที ตอนนี้พวกเขาอาจจะพร้อมรับฟังแล้ว

ค่ำคืนพร่างพรายแสงดาวระยับ
มวลบุปผาสีเพลิงเปล่งประกายเจิดจรัส
หมู่เมฆาสีม่วงอ่อนล่องลอยเป็นวงคลื่น
ทั้งหมดสะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสของวินเซนต์
สีสันพลันแปรเปลี่ยนเฉดของมัน
ทุ่งข้าวสาลีเป็นสีเหลืองดังหนึ่งอำพันท่ามกลางรุ่งอรุณ
ใบหน้าที่เจ็บปวด ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนหยาบกร้าน
ทั้งหมดต่างถูกถ่ายทอดอย่างประณีตงดงาม ด้วยมือแสนอ่อนโยนของจิตรกร

ตอนนี้ ผมเข้าใจแล้ว
สิ่งที่คุณพยายามจะบอกกับผม
ทั้งเรื่องที่คุณต้องทนทุกข์เพียงเพราะคุณรู้มากกว่าใคร
และเรื่องที่คุณพยายามปลดปล่อยวิญญาณของพวกเขา
พวกเขาจะไม่มีวันฟังคุณ พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
บางที ตอนนี้พวกเขาอาจจะพร้อมรับฟังแล้ว

แม้พวกเขาไม่อาจรักคุณ
กระนั้น ความรักของคุณก็ยังคงเที่ยงแท้
และเมื่อคุณไม่หลงเหลือความหวังใด
ในค่ำคืนพราวแสงดาวระยับนั้นอีก
คุณก็ปลิดชีวิตของคุณอย่างเช่นคนรักคนหนึ่งพึงกระทำ
แต่ผมจะบอกคุณ วินเซนต์
โลกนี้ไม่เคยเหมาะกับบุคคลผู้แสนบริสุทธิ์
อย่างคุณ

ค่ำคืนพร่างพรายแสงดาวระยับ
ภาพวาดแขวนอยู่บนผนังในหอที่ว่างเปล่า
ดวงหน้าไร้เส้นกรอบบนผนังไร้การกำกับชื่อ
ดวงตายังคงมองโลกนี้อย่างมิอาจลืมเลือนแม้เพียงเศษเสี้ยว
ก็เช่นเดียวกับคนแปลกหน้าที่คุณพบพานระหว่างทาง
ชายจรจัดทรุดโทรมในเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่น
หนามแหลมสีเงินบนก้านดอกกุหลาบสีแดงเลือด
ร่วงหล่นและแหลกสลายอยู่ในผืนหิมะขาววิสุทธิ์

ตอนนี้ ผมคิดว่าผมรู้แล้ว
สิ่งที่คุณพยายามจะบอกกับผม
ทั้งเรื่องที่คุณต้องทนทุกข์เพียงเพราะคุณรู้มากกว่าใคร
และเรื่องที่คุณพยายามปลดปล่อยวิญญาณของพวกเขา
พวกเขาจะไม่มีวันฟังคุณ กระทั่งตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ฟังคุณ
และบางที พวกเขาอาจไม่มีวันได้ฟังคุณอีกเลย





Vincent - Don Mcclean Vincent - Don Mcclean Vincent - Don Mcclean

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น