Bangkok, Thailand


วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

9.999.999 tears - Dickie Lee

9.999.999 tears - Dickie Lee


9,999,999 TEARS เพลงที่ร้องโดย Razzy Bailey เมื่อปี 1966 และ Dickey Lee ร้องไว้ในปี 1976 ฮิตมากจนมีคนไทยนำไปแปลเป็นภาษาไทย ให้ ดอน สอนระเบียบร้องจนเทปขายดิบขายดี

ในอดีตเพลงไทยจะไม่ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่น วงดนตรีวงใดเล่นเพลงไทยจะกลายเป็นวงที่เชย เพราะเพลงไทยยุคนั้นกลายเป็นเพลงของคนแก่ เพลงลูกทุ่งในยุคนั้นคนกรุงยังไม่ยอมรับเท่าไรนัก จนกระทั่งมีเพลงไทยในแนวสตริง
ที่ลอกทำนองมาจากเพลงสากลฮิตๆ จึงเริ่มมีกลุ่มวัยรุ่นฟังกันมากขึ้น และคนที่ทำให้คนไทยหันมาฟังเพลงไทยอีกครั้งคือแมวเก้าชีวิตคนนี้ เพราะเพลง เก้าล้านหยดน้ำตา ของเขาถุกเปิดตามสถานีวิทยุเกือบทุกคลื่นไม่แพ้เพลง 9,999,999 TEARS ที่ถือเป็นOriginal ณ เวลานั้นซึ่งในเนื้อหาของเพลงก็ไม่แตกต่างกันมากนัก

ดอน สอนระเบียบ หรือ ดอน พีเอ็มไฟว์ เจ้าของเสียงเพลง “ เก้าล้าน ความระกำ ช้ำชอกใจฯ เขาเริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนเพลงตั้งแต่ปลายยุค 70 ชื่อของดอนอยู่เคียงคู่กับวงการเพลงไทยลูกกรุงมาตลอด ด้วยลีลาการทำเพลงคัฟเวอร์ในภาคภาษาไทย ทั้งเพลงจีน เพลงฝรั่ง เพลงญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นบัลลาด ป๊อป แม้กระทั่งดิสโก้ ดอนนำมาร้องจนโด่งดังทุกครั้ง แม้ศิลปินรุ่นเดียวกันจะล้มหายตายจากไป แต่ดอนก็กลับมาโด่งดังตลอด เขาจึงเป็นศิลปินร่วมสมัยที่กลับมาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงลูกกรุง จนคนกล่าวขานว่าดอน สอนระเบียบ คือ “ แมวเก้าชีวิต ”


โอภาส อาจอารมณ์ เล่าไว้ในหนังสือ "ความรู้ 5 นาที" ว่า การที่มีคนกล่าวว่าแมวมีถึง 9 ชีวิต นั่นคือการเปรียบเทียบให้เห็นว่าแมวเป็นสัตว์ ที่มีอายุยืนมากนั่นเอง แต่แท้ที่จริงแล้ว แมวมีอายุเฉลี่ยประมาณ 10-15 ปี อาจมีบ้างบางตัวที่มีอายุยืนถึง 20 ปี หรือกว่านี้เล็กน้อย เท่าที่ เคยบันทึกกันไว้ แมวตัวที่อายุยืนที่สุดนั้นอายุยืนถึง 27 ปี

ตำราสากลตามพจนานุกรมอังกฤษ Brewer's Dictionary of phrase and fable ให้เหตุผลว่า It is " More tenacious of life than many animals " ก็คือมันตายยากกว่าสัตว์อื่น ๆ หลายชนิดคือ ถ้าปล่อยมันตกลงมาจากที่สูงมันก็สามารถแปลงกายเป็นนักกายกรรม แล้วลงพื้นได้อย่างสง่า

แมวเป็นสัตว์ที่ได้รับความเคารพตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ในเมือง Heliopolis นั้นนับถือเทพ Atum-ra เป็นเทพสูงสุดคือ สุริยเทพ ผู้เป็นต้นตระกูลแก่เทพสำคัญ ๆ หลายองค์

ซึ่งเทพผู้ยิ่งใหญ่ 9 องค์ของชาว Osirian ที่เรียกกัยว่า " Ennead " นั้นมีดังนี้ Atum, Shu, Geb, Nut, Osiris, Isis, Set & Nephthys โดยที่ Atum-ra ออกเดินทางไปยังยมโลก ( Underworld ) จะไปในรูปของแมวโดยจะรวมชีวิตทั้ง 9 ร่างไว้ในร่างของผู้สร้างร่างเดียว



9.999.999 tears - Dickie Lee




Got 9,999,999 tears to go
ยังเหลืออีก 9,999,999 หยดที่จะไหลออกมา
And then I don't know if I'll be over you
และฉันเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันถึงจะจบเรื่องเธอได้ซักที

The sun didn't shine this morning
ดวงอาทิตย์ไม่ได้ส่องแสงในเช้านี้
It's been raining the whole day through
ฝนได้ตกลงมาตลอดทั้งวัน
Suddenly without warning
ทันใดนั้นทั้งที่ไม่ได้มีเค้าลางมาก่อน
You found somebody new
เธอก็ได้พบกัับใครคนใหม่
That's when the first tear came
นั่นคือครั้งที่น้ำตาหยดแรกไหลออกมา
Falling from my eyes
หล่นมาจากดวงตาฉัน
I'm beginning to feel the pain
ชั้นเริ่มจตะรู้สึกเจ็บปวด
Seeing nothing but clouds in the sky
และมองไม่เห็นอะไรนอกจากเมฆหมอกบนท้องฟ้า


Got 9,999,999 tears to go
ยังเหลืออีก 9,999,999 หยดที่จะไหลออกมา
And then I don't know if I'll be over you
และฉันเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันถึงจะจบเรื่องเธอได้ซักที
Will I be over you
เมื่อไรจะจบเรื่องเธอได้ซักที

You're out tonight with your new love
คืนนี้เธออยู่กับคนรักคนใหม่ของเธอ
I'm far far from your mind
ฉันก็อยู่ไกลแสนไกลจากความคิดเธอ
Trying to get over you love
พยายามลืมความรักของเธอ
Could take a whole lifetime
อาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
I can't believe you could want anybody else
ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะต้องการใครอื่น
So no one could take my place
คิดว่าไม่มีใครสามารถแทนที่ฉันได้
At least that's what I've been telling myself
อย่างน้อยนัั่่นก็คือสิ่งที่ฉันพร่ำบอกตัวเอง
As the tears fall down my face
ด้วยน้ำตาที่ไหลอาบหน้าฉัน


Got 9,999,999 tears to go
ยังเหลืออีก 9,999,999 หยดที่จะไหลออกมา
And then I don't know if I'll be over you
และฉันเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันถึงจะจบเรื่องเธอได้ซักที
Will I be over you
ฉันจะจบเรื่องเธอได้ซักที


Got 9,999,999 tears to go
Got 9,999,999 tears to go
And then I don't know if I'll be over you


เก้าล้านหยดน้ำตา



เก้าล้านความระกำ ช้ำชอกใจที่เธอทำ ไว้นั่น
ฉันเค้นมันกลั่นออกเป็นน้ำตา ล้นหลั่ง
ให้ผิดหวัง ที่มันคั่งในอก

เป็นคราวแรก ที่ฉันแพ้ ใจเป็นแผล โดนรังแกช้ำฟก
ดังมีมือจากนรก ควักอก ควักใจของฉัน
ที่รักใยเธอถึงใจร้าย ทำลาย ได้อย่างนั้น
ฉันภักดี แต่นี่เธอกลับทำฉัน รู้ไหมนั่นว่าเธอฆ่าคนที่รัก

* เก้าล้านความระกำ ช้ำชอกใจที่เธอทำ ไว้นั่น
ฉันเค้นมันกลั่นออกเป็นน้ำตา ล้นหลั่ง
ให้ผิดหวัง ที่มันคั่งในใจ ที่มันคั่ง ในอก

คำนึงถึงเรื่องแห่งความหลัง ครั้งยังหนุ่มหนุ่ม กลัดมัน
ฉันเคยทำหญิงโศกศัลย์ นับพัน จาบัลย์มามากนัก
มาคราวนี้โดนเธอทำ ช้ำทรวง ปวดใจ
หมองไหม้เหมือนเวรกรรม แช่งชัก
ฉันจึงยอม ใช้หนี้เวรกรรม ความรัก
แม้จะหนัก ก็ยอม หมดใจ

(ซ้ำ *)
เก้าล้าน ความระกำ ช้ำชอกใจที่เธอทำ ไว้นั่น
ฉันเค้นมัน กลั่นออกเป็นน้ำตา
เก้าล้าน ความระกำ ช้ำชอกใจที่เธอทำ ไว้นั่น
ฉันเค้นมัน กลั่นออกเป็นน้ำตา ล้นหลั่ง
ให้ผิดหวัง ที่มันคั่ง เจ็บ ปวด ใจ (เก้าล้าน)
ความระกำ ช้ำชอกใจ ที่เธอทำ ไว้นั่น
ฉันเค้นมัน กลั่นออกเป็น น้ำตา
เก้าล้าน ความระกำ ช้ำชอกใจที่เธอทำ ไว้นั่น
ฉันเค้นมัน กลั่นออกเป็นน้ำตา
เก้าล้าน ความระกำ ช้ำชอกใจที่เธอทำ ไว้นั่น
ฉันเค้นมัน กลั่นออกเป็นน้ำตา
เก้าล้าน ความระกำ ช้ำชอกใจที่เธอทำ ไว้นั่น
ฉันเค้นมัน กลั่นออกเป็นน้ำตา
ล้นหลั่ง ให้ผิดหวัง ที่มันคั่งใน..ใจ






9.999.999 tears - Dickie Lee 9.999.999 tears - Dickie Lee 9.999.999 tears - Dickie Lee

Abanibi - Izhar Cohen & Alphabeta

Abanibi - Izhar Cohen & Alphabeta


การประกวดรายการยูโรวิชั่น คอนเทสต์ ปี 1978 The Eurovision Song Contest 1978 เมื่อวันที่ 22 เมษายน ปี 1978 ซึ่งเป็นการจัดครั้งที่ 23 ที่เมืองปารีส ในประเทศฝรั่งเศส ผลงานของศิลปินจากประเทศอิสราเอล ซึ่งขับร้องโดย Izhar Cohen & Alphabeta ในภาษาฮิบรู "Bet Language" ชื่อเพลง ABANIBI (Hebrew script:א-ב-ני-בי) ของวง Izhar Cohen & the Alphabeta ได้รับคัดเลือกให้เป็นเพลงชนะเลิศ ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย Ehud Manor

ความหมายของเพลงนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "I Love You" ท่อนสร้อยเป็นภาษาฮิบบรู นับเป็นครั้งแรกที่เพลงของชาวยิวจากประเทศอิสราเอลได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวด ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปหลายประเทศเพราะครั้งนั้นนอกจากมีเพลงของประเทศในแถบยุโรปแล้ว ยังอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เพลงจากแถบอาหรับ อาฟริกาเหนือ และเอเซีย เข้าร่วมประกวดด้วย ทั้งในช่วงที่มีการประกาศผลรางวัลชนะเลิศนั้น โทรทัศน์ของจอร์แดนประเทศคู่สงครามของชาวยิวถึงกับยอมรับด้วยการหยุดภาพนิ่งด้วย "ดอกแดฟฟอดิลส์ช่อใหญ่" ขึ้นกลางจอ

เนื้อหาของเพลงต้นฉบับบรรยายเกี่ยวกับความรักวัยเด็กที่ควรมอบให้กับใครบ้าง เขาจึงกระซิบเป็นภาษาฮิบบรู เพื่อต้องการให้ผู้ใหญ่เห็นความรักเป็นสิ่งสวยงาม ให้มนุษยชาติพูดภาษารักต่อกัน

รัฐอิสราเอล (State of Israel) เป็นประเทศในทวีปยุโรปและตะวันออกกลาง ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และเป็น "รัฐยิว" ตามนโยบายแห่งชาติ มีชนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่เป็นอาหรับนับถือศาสนาอิสลาม เมืองหลวงคือ เยรูซาเลม ภาษาราชการใช้ได้ทั้ง ฮีบรูและอาหรับ มีเนื้อที่ทั้งหมด 22,145 ตารางกม.

อิสราเอลมีพรมแดน ติดกับประเทศเลบานอน ซีเรีย จอร์แดน และอียิปต์ มีชายฝั่งบนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อ่าวไอลัต/อะกาบา (อะกอบะหฺ) (Gulf of Eilat / Aqaba) และทะเลเดดซี

ประวัติศาสตร์หลายๆด้านได้บันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาของอิสราเอล เช่น

1.ด้านกฎหมาย เป็นต้นกำเนิดของคำว่าผู้พิพากษา คือผู้แทนของพระเจ้าซึ่งได้มาโดยการเลือกตั้ง เรียกว่า "ยัดซ์" (Judge) แปลว่า "ผู้วินิจฉัย" ทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาคดี แผ่นดินทั้งหมดเป็นสมบัติของพระเจ้า ห้ามซื้อขาย ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับข้อห้ามทางศาสนาจะต้องได้รับโทษอย่างหนัก ผู้กระทำผิดทางอาญาเช่นไร จะต้องได้รับโทษตอบแทนในทำนองเดียวกัน (ตาต่อตาฟันต่อฟัน)

2. ด้านศาสนา กำหนดให้มีพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวคือ "ยาเวห์" หรือ "ยะโฮวา" (Yaveh,Yahoveh) พระเจ้าทรงประทานกฎแห่งความประพฤติ (ศีล) แก่ประชาชน 10 ประการ เรียกว่า "บัญญัติ 10 ประการ" (Ten Commanments)

กษัตริย์โซโลมอนทรงทำให้เยรูซาเลมมั่งคั่งและรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ทรงสร้างมหาวิหารงดงามและยิ่งใหญ่ขึ้นในอาณาจักรในตอนนั้นคำว่าศูนย์กลางของโลก หมายถึงเยรูซาเร็ม แต่เมื่อถึงยุคเสื่อมโทรม มหาวิหารยะโฮวาห์ถูกทำลาย และถูกกวาดต้อนผู้คนไปยังบาบิโลน โดยยังให้อิสระแก่ยิวในการประกอบกิจทางศาสนา และจัดให้อยู่เป็นนิคมยิว (The Jewish Dispora) จึงทำให้ยิวสามารถรักษาสภาพเป็นยิวและภาษาของตัวเองไว้ได้

หลังจากตกอยู่ภายใต้ไบแซนไทน์ทำให้อิราเอลถูกเนรเทศเกือบทั้งหมดและบางส่วนถูกฆ่า ชนชาติอสราเอลจึงได้กระจัดกระจายไป คำว่ายิวจึงได้เริ่มต้นเรียกมาจากตอนนี้ ซึ่งนักศาสนสตร์อธิบายว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า ยูดัส Judus หนึ่งในสาวกผู้ทรยศพระเยซู ซึ่งมีภาพลักษณ์คล้ายๆกับชนชาติอิสราเอลนั้นคือ ไว้ใจไม่ได้ เห็นแก่เงิน นิสัยขี้โกง และฉลาดเอาตัวรอด

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศอังกฤษมีอำนาจและอิทธิพลในดินแดนแถบนี้ ได้อนุญาตให้ชาวอิสราเอลเดินทางกลับสู่มาตุภูมิได้ตามมติสหประชาชาติ ที่แบ่งดินแดนแห่งนี้เป็น60%ของชาวอิสราเอล และ 40%เป็นของชาวฟิลิเตียหรือปาเลสไตน์ ซึ่งสร้างความไม่พอใจ และ เกิดการต่อต้านจากพวกอาหรับและประเทศในแถบนั้น และนำไปสู่สงคราม 6วัน

เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่อิราเอลรบชนะประเทศอาหรับใกล้เคียงแถบนั้นได้ทั้งหมด และ ได้ยึดครองพื้นที่เพิ่มเติมจากเดิมที่เคยตกลงกันไว้แต่ไม่ยอมความในตอนแรก จนทุกวันนี้แทนที่ปาเลสไตน์จะได้ 40% กลับเหลือแค่เขตปกครองWestBank และฉนวนกาซ่า ตลอดจนมติสหประชาชาติไม่อนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีแม้แต่เครื่องบินรบ รถถังและ อาวุธใดๆที่จะทำสงครามกับอิสราเอล จึงเป็นที่มาที่ปาเลสไตน์สู้ทุกทาง ไม่ว่าระเบิดฆ่าตัวตาย กองโจร และอีกหลายวิธีที่จะยึดครองที่นั้นกลับคืนมา

ทุกวันนี้ประเทศอิสราเอลจึงมีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มาก ข่าวสารทุกวันนี้จะต้องรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นั้น เพราะอิสราเอลแปลว่า "ผู้ที่ปล้ำสู้กับพระเจ้า" " ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลงานชาวยิวที่เขย่าโลกใบนี้ ไม่ว่าวงการบันเทิง เช่น สตีเวน สปิลเบริ์ต ผู้กำกับหนังคนดัง เจ้าของฉายาพ่อมดฮอลลี่วู้ด หรือ เดวิด คอปเปอร์ฟิล ยอดนักมายากลโลก หรือวงการธุรกิจอย่าง ซีตรอง เมอร์ซิเดสเบซน์ โรเร็กซ์ ลีวาย-สเตาท์ว รวมไปถึงนักวิทยาสาตร์ และ เจ้าของรางวัลโนเบล ล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตของชนชาติอิสราเอลที่เข้าคอบครองเกือบทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ทั้งตลาดทุน เศรษฐกิจ พลังงาน น้ำมัน ทองคำและแหล่งแร่ ตลอดจนการค้า และ ยารักษาโรค



Abanibi - Izhar Cohen & Alphabeta




A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
o-bo-he-bev obot abach

Oh when I was a little child
my days were happy
free and wild
but when in love I couldn't say
the words I wanna say today.

Those words were always spinning in my head
I used to whisper them at night in bed
and when alone I didn't try to hide
those magic words I kept inside.

A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
o-bo-he-bev obot abach

Love is kind
love is all around
it's a lovely sound
lost and found
love is free
love's been good to me
I'm in love
I'll survive 'cause the language
of love is alive.

A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
o-bo-he-bev obot abach

I wanna say the words of yesterday
I wanna love you in the same old way
the words of love are coming close to shore
so let me say them more and more.

A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev obot abach
A-ba-ni-bi o-bo-he-bev
o-bo-he-bev obot abach





Abanibi - Izhar Cohen & Alphabeta Abanibi - Izhar Cohen & Alphabeta Abanibi - Izhar Cohen & Alphabeta

GO - Tina Charles

GO - Tina Charles


Tina Charles เกิดเมื่อ 10 มีนาคม1954,ที่เมือง Whitechapel, เธอเป็นนักร้องชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จกับงานเพลงในแนวดิสโก้ ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70's ก่อนหน้านั้นเธอเป็นนักร้อง Back Up และขยับขึ้นมาเป็นนักร้องนำในแนว Disco เมื่อปี 1975 กับเพลงฮิตเก่าๆของ Bruce Springsteen.ที่ชื่อ "I'm On Fire". ขึ้นถึงอันดับ 4. ของอังกฤษใน The UK Singles Chart, และ อันดับที่ 26 ของ The Billboard Hot 100.

อัลบั้ม "I Love To Love (But My Baby Loves To Dance)" ใช้เวลา 3 สัปดาห์ไต่ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอังกฤษ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1976,เพลงฮิตอย่าง "Dance Little Lady Dance"."Love Me Like A Lover", "Dr Love", "Rendezvous" และ "Love Bug"ทำให้เธอกลายเป็นนักร้องดาวรุ่งแห่งยุค ดังไปทั่วทั้งยุโรป เอเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนักในอเมริกา
และเพลง GO ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในต่างประเทศ แต่เมืองไทยกลับฮิตระเบิด
น่าจะดังกว่าเพลงอื่นๆของเธอ



GO - Tina Charles




Go Oh baby go,
โอ้ พ่อหนุ่มจงไปซะ
Go, oh baby go,
โอ้ พ่อหนุ่ม จงไปซะ
Go Before you break another heart
ไปซะ ก่อนที่เธอจะไปหักอกใครอีก
Before another Teardrop starts
ก่อนที่จะเกิดอีกหนึ่งหยดน้ำตา
You'd better run from me go I love you so,
เธอควรที่จะรีบไปเสียก่อนที่ฉันจะตกหลุมรักเธอ

Go Before I look into your eye
ไปเสีย ก่อนที่ฉันจะจ้องตาเธอ
And start believing all your life
และเริ่มจะเชื่อในคำโกหกต่างๆของเธอ
Don't make it hard for me, go
อย่าทำให้มันยุ่งยากสำหรับฉันเลย จงไปเสียเถอะ
Oh baby You know I like you
โอ้ พ่อหนุ่ม เธอรู้ดีว่าฉันนั้นชอบเธอ
but I don't love you
แต่ฉันยังไม่ได้รักเธอ
You know I want you
เธอรู้ดีว่าฉันนั้นต้องการเธอ
but I don't want to
แต่ฉันนั้นไม่ได้ต้องการเธอซักหน่อย

'Cause when I see you with somebody else
เพราะเมื่อฉันเห็นเธออยู่กับใครคนอื่น
I know I'm only fooling myself
ฉันรู้ว่าฉันคงทำได้แค่หลอกตัวเอง
It's just a game to you or make believe
มันก็เป็นแค่เกมส์สำหรับเธอ หรือแค่ทำให้หลงเชื่อ
You wear your heart on your sleeve,
เธอสวมหัวใจปลอมๆโชว์อยู่บนแขนเสื้อของเธอ

Go Before you break another heart
Before another Teardrop starts
You'd better run from me go I love you so,

Go Before I look into your eye
ไปเสีย ก่อนที่ฉันจะจ้องตาเธอ
And start believing all your life
และเริ่มต้นเชื่อในการกระทำต่าง ๆ ในชีวิตเธอ
Don't make it hard for me, go
อย่าทำให้มันยุ่งยากสำหรับฉันเลย จงไปเสียเถอะ
Oh baby You know you got me dancing on a street
โอ้พ่อหนุ่ม เธอรู้ดีว่าเธอทำให้ฉันเต้นแร้งเต้นกาอยู่บนถนน
I'm like a puppet and I'm weakening
ฉันก็เหมือนกับหุ่นนั่นแหละ และฉันนั้นก้อกำลังป้อแป้
You got the power to make it right
เธอนั้นมีพลังที่สามารถทำอะไรก็ได้

What'd you do is baby hold me tight
สิ่งเธอเธอควรจะทำคือกอดฉันเอาไว้แน่นๆ
If I can be the only fish in your sea
หากฉันนั้นเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือเธอ
And I just wanna be free, Oh baby Go
ฉันนั้นก้อขอที่จะเป็นอิสระดีกว่า โอ้พ่อหนุ่มจงไปซะ
Go Before you break another heart
ไปซะ ก่อนที่เธอจะไปหักอกใครอีก
Before another Teardrop starts
ก่อนที่จะเกิดอีกหนึ่งหยดน้ำตา
You'd better run from me go I love you so,
เธอน่าจะรีบไปเสียก่อนเพราะฉันรักเธอเหลือเกิน

...Oh baby go, ......Go
Go Before I look into your eye
And start believing all your life
Don't make it hard for me, go


sleeve = ข้อมือสื้อ,แขนเสื้อ....puppet = หุ่น.....
fish in your sea = ปลาอยู่ในทะเลของเธอ (สำนวน) ลูกไก่อยู่ในกำมือ หรือ นกในกรง






GO - Tina Charles GO - Tina Charles Bad GO - Tina Charles

Bad Time - Grand Funk Railroad

Bad Time - Grand Funk Railroad


Grand Funk Railroad วงทริโอ อเมริกันที่เล่นเพลงร้อคหนักๆด้วยเครื่องดนตรีเพียง 3 ชิ้น จัดเป็นวงร้อคสุดฮิตของปี 1970s,

ความนิยมในฝีมือของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น แต่นักฟังเพลงทั่วโลกรวมทั้งคนไทยด้วย ต่างคลั่งใคล้พวกเขา

ผลงานเพลงขายได้มากกว่า 25 ล้านแผ่น จนได้รางวัล แผ่นเสียงทองคำถึง 4 อัลบั้มในปี 1970

Grand Funk Railroad เจ้าของฉายา"The American Band",จากเพลงฮิตของเขา We're an American Band

แต่ที่ทำให้คอร้อคเมืองไทยรู้จักพวกเขาดี คือเพลง "Bad Time"

ในปี พ.ศ. 2549 มีผู้สร้างภาพยนตร์ไทยเรื่อง เก๋า เก๋า เป็นเรื่องราวของ วงดนตรีชื่อดังแห่งยุคทศวรรษ 1970 ที่ถูกอุปกรณ์วิเศษคล้ายไมโครโฟน พาข้ามผ่านยุคสมัย มาปรากฏตัวในยุคปัจจุบัน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ กำกับโดย วิทยา ทองอยู่ยง และเข้าฉาย ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2549 พร้อมทั้งได้นำเพลง Bad Time มาแปลงเป็นเพลงไทยใช้ชื่อเพลงว่า

"ดวงใจยังมีรัก (ดวงใจฉันรักเธอ)"

ฝากเวลาวอนรำพัน ข้ามคืนวันมาชิดใกล้
รักที่รอนแรมมาไกล แค่ไหนเธอรู้ดี
หวังว่าเธอยังมีใจจดและจำคำนี้ไว้
ดวงใจฉันรักเธอ ดวงใจฉันรักเธอ

ครั้งนั้นถ้าฉันได้รู้ คงเคียงคู่สุขสันต์
เพียงแต่ฉันกลับตัวและหัวใจ
แต่ฉัน ทำตัวเองให้ร้างแรมห่างไกล
เลวแค่ไหนยอดชู้เธอคงจะรู้ดี

แต่จะจากกันไกลเพียงไร แต่ดวงใจไม่เคยห่าง
รักไม่เคยจะจืดจาง หดห่างจากหัวใจ
ขอเพียงเธอจงอย่าลืม ถ้อยคำคำนี้ไป
ถึงตัวห่างไกลอย่างไร แต่เธอโปรดรู้ไว้
ดวจใจฉันรักเธอ รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ
รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ

ยังไม่ลืมเราเลว จนเธออำลา
ยังติดตาดวงหน้าเธอมี น้ำตาคลอ
ไม่เคยกลับใจ ผิดแค่ไหนให้เธอท้อ
เพียงแค่ขอ ยอมรับเอาไว้ในโทษทัณฑ์

แต่จะจากกันไกลเพียงไร แต่ดวงใจไม่เคยห่าง
รักไม่เคยจะจืดจาง หดห่างจากหัวใจ
ขอเพียงเธอจงอย่าลืม ถ้อยคำคำนี้ไป
ถึงตัวห่างไกลอย่างไร แต่เธอโปรดรู้ไว้
ดวจใจฉันรักเธอ รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ
รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ

แต่จะจากกันไกลเพียงไร แต่ดวงใจไม่เคยห่าง
รักไม่เคยจะจืดจาง หดห่างจากหัวใจ
ขอเพียงเธอจงอย่าลืม ถ้อยคำคำนี้ไป
ถึงตัวห่างไกลอย่างไร แต่เธอโปรดรู้ไว้
ดวจใจฉันรักเธอ รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ
รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ รู้ไว้ดวงใจฉันรักเธอ



Bad Time - Grand Funk Railroad




I’m in love with the girl that I’m talking about,
I’m in love with the girl I can’t live without.
I’m in love but I sure picked a bad time ...
To be in love, to be in love.

Well, let her be somebody else’s queen,
I don’t want to know about it.
There’s too many others that know what I mean,
And, that’s why I got to live without it.

I’m in love with the girl I’m talking about,
I’m in love with the girl I can’t live without.
I’m in love but I feel like I’m wearin’ it out,
I’m in love but I must have picked a bad time ...
To be in love, a bad time to be in love,
A bad time to be in love, a bad time to be in love.

All the stories coming back to me,
From my friends and the people that I don’t want to see.
The things you say I know just couldn’t be true,
At least not until I hear them from you.

’cause I still love the little girl I’m talking about,
I’m in love with the girl I can’t live without.
I’m in love but I feel like I’m wearin’ it out,
I’m in love but I must have picked a bad time ...
To be in love, a bad time to be in love,
A bad time to be in love, a bad time to be in love.

You know that I love the little girl I’m talking about,
I’m in love with the girl I can’t live without.
I’m in love but I feel like I’m wearin’ it out,
I’m in love but I must have picked a bad time ...
To be in love, a bad time to be in love,
A bad time to be in love, a bad time to be in love.




Bad Time - Grand Funk Railroad Bad Time - Grand Funk Railroad Bad Time - Grand Funk Railroad

Quando Quando Quando - Michael Buble feat Bonita

Quando Quando Quando - Michael Buble feat Bonita


Michael Buble นักร้องมากความสามารถที่โด่งดังไปทั่วโลกกับอัลบั้ม It’s Time ที่มี David Foster สุดยอดโปรดิวเซอร์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ด้วยยอดขายอัลบั้มมากกว่า 11 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก จากอัลบั้มเพียง 2 ชุด การันตีได้ว่าหนุ่มโรแมนติกอย่าง Michael Buble คนนี้มีแฟนเพลงมากมาย

กับเพลงที่ฟังสบายๆ It’s Time เป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยทำนองของ ป๊อป, สวิง, บัลลาด ออกวางจำหน่ายเมื่อ 12 มิถุนายน 2550



Quando, Quando, Quando (Tell Me When) เป็นเพลงป๊อปละตินสนุกๆขนานแท้ดั้งเดิมของอิตาลี ที่ราชาเพลงโรแมนซ์ Engelbert Humperdinck เคยร้องไว้เมื่อกว่า 40 ปีที่ผ่านมา เมื่อต้นๆปี 1960s,

เพลงนี้ประพันธ์โดย Alberto Testa และ Tony Renis ( Elio Cesari) ต่อมา Ervin Drake นำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เพลงนี้รู้จักกันแพร่หลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นต้นฉบับในการร้องเพลงนี้คือ ศิลปินเจ้าของฉายา King of Romance สะกดคนทั้งโลกด้วยเสียงโรแมนซ์ของเขา ต่อมามีผู้นำมาร้องหลายคนหลายสไตล์จนมาถึง Michael Buble นำมาร้องในแนว pop-jazz ที่ค่อนข้างจะอ้อยสร้อย น่ารัก



Quando Quando Quando - Michael Buble feat Bonita




Tell me when will you be mine
Tell me quando, quando, quando
We can share a love divine
Please don't make me wait again

When will you say 'yes' to me?
Tell me quando, quando, quando
You mean happiness to me
Oh, my love, please tell me when

Ev'ry moment's a day
Ev'ry day seems a lifetime
Let me show you the way
To a joy beyond compare

I can't wait a moment more
Tell me quando, quando, quando
Say it's me that you adore
And then, darlin', tell me when

(instrumental strings and brass)

Ev'ry moment's a day
Ev'ry day seems a lifetime
Let me show you the way
To a joy beyond compare

I can't wait a moment more
Tell me quando, quando, quando
Say it's me that you adore
And then, darlin', tell me when





Quando Quando Quando - Michael Buble feat Bonita Quando Quando Quando - Michael Buble feat Bonita Quando Quando Quando - Michael Buble feat Bonita

Please Help Me I'm Falling - Hank Locklin

Please Help Me I'm Falling - Hank Locklin


Hank Locklin เกิดเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 1918, ที่
McLellan มลรัฐฟลอริดา เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาว อเมริกัน

เริ่มมีผลงานเป็นของตัวเองครั้งแรกกับเพลง "Send Me the Pillow That You Dream On", " และ "Please Help Me I'm Falling",

เสียงร้องของเขาออกแนวคลาสสิค จึงมีผู้ยกย่องให้เขาเป็นนักร้องคันทรีคลาสสิค แฟนเพลงของเขามีทั้งในนอรเวย์ ยุโรป เยอรมัน ฮอลแลนด์ ญี่ป่น ไอร์แลนด์ เคยทำอัลบั้มภาษาไอริช เมื่อปี 1963 ที่เรียกกันว่า Irish Songs Country Style.

เพลง Send Me the Pillow ที่เขาแต่งเป็นเพลงแรกเมื่อปี 1949 มีผู้นำไปร้องเช่น Dean Martin, Johnny Tillotson, Roy Rogers, Dolly Parton ,Dwight Yoakam

ในปี 1960 Locklin ดังข้ามเมืองด้วยเพลงที่แต่งเอง ร้องเองและบันทึกเมื่อเดือนมกราคม"โปรดช่วยด้วย ผมตกหลุมรักคุณเข้าแล้ว" Please Help Me I'm Falling เป็นเพลงที่ขึ้นถึงอันดับ1 อยู่ 14 สัปดาห์ และติดชาร์ทเพลงคันทรี The Billboard Hot 100 นานถึง 36 สัปดาห์ โดยการจัดอันดับของนิตยสารบิลบอร์ดเมื่อครั้งครบรอบ 100 ปี ทั้งยังยกย่องให้ เป็นเพลงอันดับ 8 ในประเภทเพลงป้อป และคว้ารางวัล Grammy Award,The Cash Box Award for Best Country Song of 1960. และยังได้รับเกียรติจัดเพลงของเขาทุกคืนวันเสาร์ในรายการบันเทิงทาง Net Work ของอเมริกาที่ชื่อ The Grand Ole Opry. และนำไปเป็นเพลงในหนังของคลิ้นท์ อีสวู้ด เรื่อง A Perfect World.

จากความไพเราะของเพลงนี้มีนักร้องที่มีชื่อเสียงหลายคนนำไปบันทึกใหม่ทั้งยังมีเพลงแก้เป็นเสียงของ Skeeter Davis ในเพลง (I Can't Help You) I'm Falling Too "ฉันคงช่วยคุณไม่ได้เพราะฉันก็เป็นนะ" ซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กัน



Please Help Me I'm Falling - Hank Locklin



Please Help Me I'm Falling
Artist: Hank Locklin
Album: Once Over Lightly

Please help me I'm falling in love with you
Close the door to temptation don't let me walk through
Turn away from me darling I'm begging you to
Please help me I'm falling in love with you

I belong to another whose arms have grown cold
But I promised forever to have and to hold
I can never be free dear but when I'm with you
I know that I'm losing the will to be true

Please help me I'm falling and that would be sin
Close the door to temptation don't let me walk in
For I mustn't want you but darling I do
Please help me I'm falling in love with you
Please help me I'm falling in love with you



(I Can't Help You) I'm Falling Too
Skeeter Davis



{You say that you're falling
But what can I do
You want me to help you
But I'm falling too}

I know that we're wrong dear
But when I'm with you
{I can't help you darling
Cause I'm falling too}

You belong to another
Whose arms have grown cold
{But you must keep the vows dear
Although they've grown old}

{You can never be free dear
Though I love you true}
I can't help you darling
{Cause I'm falling too}



{We could never be happy
Living in sin
Our love's a temptation
But we just can't win}

You ask me to help you
But {what can I do
I can't help you darling
Cause I'm falling too}




Please Help Me I'm Falling - Hank Locklin Please Help Me I'm Falling - Hank Locklin Please Help Me I'm Falling - Hank Locklin

That's all I want from you - Diane Ray

That's all I want from you - Diane Ray


That's All I Want from You เพลงป้อปที่ประพันธ์โดย Fritz Rotter (M. Rotha),เมื่อปี 1955.

เคยมีนักร้องนำไปบันทึกแผ่นหลายคน โดยคนแรกคือ Jaye P. Morgan, ขึ้นถึงอันดับ 3 ของ The Billboard chart ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยร้องกับวง Hugo Winterhalter's orchestra (เมื่อ 2 ตุลาคม, 1954, นอกจากนั้นยังมีเสียงร้องของ Dean Martin.Nina Simone ในอัลบั้ม Baltimore,เมื่อปี 1978 และ Dinah Washington บันทึกไว้เมื่อ11 มกราคม 1955,

Diane Ray เกิดเมื่อปี 1942 เธอเป็นนักร้องเพลงป้อป และร้อคแอนด์โรล ในยุคต้นๆ1960s.

ผลงานที่ทำชื่อเสียงให้เธอคือซิงเกิลของปี 1963 "Please Don't Talk To the Lifeguard".และที่ยังคงตรึงความทรงจำคนรุ่นเก่าคืออัลบั้มที่ชื่อ Teenage Girls (Greatest Hits of Janie Grant and Diane Ray) ที่เธอร้องกับ Janie Grant และบรรจุเพลงนี้รวมไว้ด้วยกันกับเพลง That's all I want from you

เพลงรักหวานอ้อนเพลงนี้ เล่าว่าความรักของเธอค่อยๆงอกงามมาทีละนิดๆ พรุ่งนี้อาจเป็นสิ่งไม่แน่นอน ทั้งหมดที่อยากได้คือความรัก อย่ามาทำหลอกกันเล่นๆเชียวนะ



That's all I want from you - Diane Ray





A little love that slowly grows and grows,
Not one to comes and goes
That's all I want from you.

A sunny day with hopes up to the sky,
A kiss and no goodbye
That's all I want from you.

* Don't let me down, oh show me that you care
Remember when you give, you also get your share.
Don't let me down, I have no time to waste,
Tomorrow might not come,
When dreamers dream too late.

A little love that slowly grows and grows,
Not one that comes and goes
That's all I want from you.

That's all I want from you.


ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยค่อยรัก
อย่าโหมหัก รักแล้วหน่าย คลายจากฉัน
ทีละนิด ทีละหน่อย ค่อยรักกัน
ทีละวัน ผันเป็นเดือน เคลื่อนเป็นปี

ดุจอาทิตย์ ยามใกล้รุ่ง พุ่งสู่ฟ้า
ค่อยลอยเลื่อน สู่นภา จ้าเต็มที่
ขอรักเรา สุกสว่าง อยู่อย่างนี้
รอยจูบที่ เคยฝากไว้ อย่าได้เลือน

อย่าให้ฉัน ต้องปวดร้าว เฝ้าเพ้อหา
จำได้ไหม คำสัญญา เธอเอ่ยเอื้อน
จะไม่มี คนรักใหม่ ไม่แชเชือน
อย่าลืมเลือน เหมือนเช่นฝัน ตื่นพลันจาง

ทึละเล็ก ทีละน้อย คอยเติมรัก
คอยฟูมฟัก รักเราสอง อย่าหมองหมาง
ด้วยรักแท้ และจริงใจ ใช่อำพราง
คำเอ่ยอ้าง ทั้งหมดนั้น ฉันขอเธอ




That's all I want from you - Diane Ray That's all I want from you - Diane Ray That's all I want from you - Diane Ray

Lightning Bar blues - Arlo Guthrie /Hoyt Axton

Lightning Bar blues - Arlo Guthrie /Hoyt Axton


จะเป็นแหวนเพชรหรือรถหรูๆข้าไม่สน ขอให้ได้มาวววววเป็นพอใจ
ถึงข้าตายก็ไม่ต้องมาร้องไห้ ไม่ต้องมาเผาผี
ช่วยเอาร่างข้ายัดลงตุ่ม ดองเหล้าให้ด้วยนะ เอิ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

จำเพื่อลืม ดื่มเพื่อเมา เหล้าเพื่อโลก สุขเพื่อโศก หนาวเพื่อร้อน นอนเพื่อฝัน
แด่พธูผู้ผ่านไปในอดีต แด่สังคีตแห่งสินธูและภูเขา แด่ความฝันอันลำพองของพวกเรา
ดื่มหมดแล้วเหลือแก้วเปล่า เอ้า..คว่ำลง ฯ อ้วกกกกกกกกกกก เมาไม่ขับ แล้วกูจะกลับยังไง

มา มาซี่ อย่ามัวซึมเซา
ดื่มให้หลับ ตาคาวงเหล้า
ดื่มเพื่อหลีก ทางคนใจเบา
เมา ให้หัวทิ่มบ่อ
เมา ให้หัวทิ่มบ่อ

รักนี่มั่ว อย่ามัวมึนเมา
ดื่มสนุก สุขกันเถอะเรา
ดื่มให้เกียรติ
คนหลอกลวงเรา
เมา ให้หัวทิ่มบ่อ
เมา ให้หัวทิ่มบ่อ
เมาให้หัวทิ่มบ่อ



Lightning Bar blues - Arlo Guthrie /Hoyt Axton





CHORUS:
I don't need no diamond ring
I don't need no Cadillac car
Just want to drink my Ripple wine
Down in the Lightnin' Bar
Down in the Lightnin' Bar

Some people value fortune and fame
I don't care about 'em none
Just want to drink my Ripple wine
I want to have my good time fun
Have my good time fun

CHORUS

When I die don't cry for me
Don't bury me at all
Place my livin', laughin', lovin' bones
In a jar of alcohol
Hundred proof alcohol

CHORUS



Lightning Bar blues - Arlo Guthrie /Hoyt Axton Lightning Bar blues - Arlo Guthrie /Hoyt Axton Lightning Bar blues - Arlo Guthrie /Hoyt Axton

Seven Lonely Days - Georgia Gibbs

Seven Lonely Days - Georgia Gibbs


GEORGIA GIBBS นักร้องหญิงร่างเล็ก เสียงสโมคกี้ วอยส์ เธอมีพรสวรรค์ร้องเพลงไพเราะทุกประเภท ตั้งแต่ป็อป คันทรี บัลลาด เธอจัดเป็นนักร้องผิวขาวคนแรกๆ ที่กล้านำเพลงอาร์แอนด์บีของนักร้องผิวสีมาคัฟเวอร์

จอร์เจีย กิ๊บส์ มีชื่อเต็มว่า FREDDA LIPSCHITZ เธอเป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว เกิดที่เมือง WORCESTER รัฐแมสซาชูเซตส์ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1919 พ่อเสียชีวิตเมื่อเธออายุ 6 เดือน จากนั้นเธอถูกนำไปฝากเลี้ยงในสถานเด็กกำพร้า และในสถานที่แห่งนี้เองที่เธอค้นพบว่าตัวเองนั้นมีพรสวรรค์ด้านเสียงร้อง ร้องเพลงไพเราะ ตรึงใจผู้คน เธอมักถูกเชิญไปร้องเพลงต่อหน้าสาธารณชนในคอนเสิร์ตการกุศล เมื่อแม่ทราบข่าวจึงรับกลับมาอยู่บ้าน ช่วงนั้นเธอเป็นวัยรุ่นแล้ว เนื่องจากแม่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ออกจากบ้านแต่เช้า กลับค่ำ เฟรดด้า มักถูกทอดทิ้งให้อยู่บ้านตามลำพัง อยู่ไม่นาน แม่แต่งงานใหม่ เธอเลยใช้ชื่อใหม่ว่า FREDDA GIBSON

เมื่ออายุ 13 ปี เฟรดด้า กิ๊บสัน อยากตอบแทนบุญคุณแม่ เธอออกมาทำงานร้องเพลงอยู่ตามคลับในบอสตัน เธอมักเดินทางไปให้ความบันเทิงตามเมืองต่างๆ อีกทั้งมีโอกาสร้องเพลงออกอากาศรายการวิทยุ จนมีโอกาสบันทึกเสียง

ปี ค.ศ. 1943 เฟรดด้า กิ๊บสัน เปลี่ยนมาใช้ชื่อ จอร์เจีย กิ๊บส์ เธอได้รับ ฉายาว่า HER NIBS, MISS GIBBS แปลเป็นไทยว่า "ใต้เท้า นี่แหละ ระหว่างปี ค.ศ. 1951-1957 เธอมีเพลงฮิตติดชาร์ตถึง 23 เพลง เริ่มจาก เพลงอันดับหนึ่งในปี ค.ศ. 1952 เพลง KISS OF FIRE เพลงนี้มาจากทำนองเพลงแทงโก้ของอาร์เจนตินา

ปี ค.ศ. 1953 จอร์เจีย กิ๊บส์ นำเพลง SEVEN LONELY DAYS เพลงคันทรีของ BONNIE LOU มาคัฟเวอร์ มีนักร้องประสานเสียง THE YALE BROTHERS ร้องแบ็กอัพ ในอเมริกาขึ้นถึงอันดับ 5 แต่ในเอเชียหลายประเทศขึ้นถึงอันดับ 1

อัลบั้มชุดสุดท้ายที่เธอบันทึกเสียงชื่อชุด CALL ME ออกจำหน่ายในปี ค.ศ. 1966 ระยะหลัง จอร์เจีย กิ๊บส์ ป่วยเป็นโรค LEUKEMIA เม็ดโลหิตขาวมากผิดปกติ เธอรับการรักษาจากศูนย์มะเร็ง SLOAN-KETTERING ในนครนิวยอร์ก จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะมีอายุ 87 ปี ปิดฉากนักร้องหญิงระดับตำนานแห่งยุค 50s อีกคนหนึ่ง


เพลงฮิตในอดีตเพลงนี้ มีนักร้องนำไปร้องมากมาย เริ่มจาก Georgia Gibbs & The Yale Brothers ในปี 1953 จนมาถึงปี 2002 ก็ยังมีคนนำมาCover ใหม่อีก

สำหรับเมืองไทยนั้นนักแต่งเพลงบ้านเรานำมาใส่เนื้อร้องภาษาไทย กลายเป็นเพลงฮิตที่เล่าขานกันไม่รู้จักจบ นคร มงคลายน เขียนเนื้อร้องใหม่ ตั้งชื่อไทยว่า เจ็ดวันที่ฉันเหงา มอบให้เพ็ญแข กัลย์จาฤก เป็นผู้ขับร้อง
สุดฮอตกับวลีที่ว่า.......ผ้าเช็ดหน้าเจ็ดผืนชื้นไปด้วยน้ำตา...



เจ็ดวันที่ฉันเหงา


อาทิตย์เดียวที่จากไป เหงาใจ 7 ทิวา ทรวงตรอมตรมเหว่ว้า อาวรณ์มา 7 คืน
คนรักเคยบอกไว้ มั่นใจว่ารักชื่น ใยเธอจึงแกล้งฝืน กล้ำกลืนความโศกศัลย์

โอ้ที่รักเธอคงหม่นหมอง ร้องไห้รำพัน ฉันก็ร้องครวญโศกศัลย์ เช่นกันกับเธอ
รำลึกความหลังที่ได้ผ่านไป เศร้าใจจริงเออ ฉันก็ร้องครวญพร่ำเพ้อ ให้เธอคืนมา

ผ้าเช็ดหน้าเจ็ดผืน ชื้นไปด้วยน้ำตา ใจอาวรณ์หนักหนา เหลือมาเพียงจดหมาย
คนรักไกลให้เหงา ใจเศร้าโศกมิวาย ทนทรมานอย่างร้าย หนาวกายมาเจ็ดวัน
หนาวกายมาเจ็ดวัน หนาวกายมาเจ็ดวัน...................................................................



Seven Lonely Days - Georgia Gibbs





Seven lonely days make one lonely week
เจ็ดวันที่ว้าเหว่ เ่ท่ากับหนึ่งสัปดาห์เหว่ว้า
Seven lonely nights make one lonely me
เจ็ดราตรีที่เดี่ยวโดดเท่ากับตัวฉันที่โดดเดี่ยว
Ever since the time you told me we were through
ตั้งแต่ที่เธอบอกฉันว่า เราจบสิ้นกันแล้ว
Seven lonely days I cried and cried for you
ตลอดเจ็ดวันอันหงอยเหงา ฉันเฝ้าร้องไห้ถึงเธอ

(Oh, my darlin' you're cryin', boo-hoo-hoo-hoo)
โอ ที่รักจ้า เธอก็กำลังร้องไห้ โฮ โฮ โฮ
(There's no use in denyin' I cried for you)
ไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธ,ฉันเองก็ร้องไห้ถึงเธอ
(It was your favorite pastime making me blue
มันเป็นงานอดิเรกที่ชื่นชอบของเธอเลยนะ ที่มาทำให้ฉันเศร้าโศก
(Last week was the last time I cried for you)
อาทิตย์ก่อนคืออาทิตย์สุดท้าย ฉันร้ำไห้ถึงเธอ
(Doo-doo-doo-doo-doo-doo)

Seven hankies blue I filled with my tears
ผ้าเช็ดหน้าโศกเจ็ดผืน เต็มไปด้วยน้ำตาของฉัน
Seven letters too I filled with my fears
จดหมายเจ็ดฉบับ ฉันบรรจุแต่ความกลัวเอาไว้
Guess it never pays to make your lover blue
คิดว่ามันไม่มีวันชดเชยได้ ที่ทำให้คนรักเธอเสียใจ
Seven lonely days I cried and cried for you
เจ็ดวันฉันว้าเหว่,ฉันร้องไห้,ฉันร้องไห้เพื่อเธอ
(And cried for you)

(Oh, my darling you're crying) Seven lonely days
(Boo-hoo-hoo-hoo) Make one lonely week
(There's no use in denying) Seven lonely nights
(I cried for you) Make one lonely me
(It was your favorite pastime) Ever since the time
(Making me blue) You told me we were through
(Last week was the last time) Seven lonely days
(I cried for you) I cried and cried for you
(Oh, my darling I) Cried and cried for you
(Oh, my darling I) Cried and cried for you






Seven Lonely Days - Georgia Gibbs Seven Lonely Days - Georgia Gibbs Seven Lonely Days - Georgia Gibbs

You've got a friend - Carole King

You've got a friend - Carole King


CAROLE KING


เมื่อโลกวุ่นขุ่นหมองขัดข้องนัก
ขาดที่พักพิงใจใครปลอบขวัญ
เมื่อทุกสิ่งยิ่งแย่แก้ไม่ทัน
หลับตาลงคิดถึงกัน ฉันจะมา

จะอยู่ไหน ขอเพียงเพรียกเอ่ยเรียกฉัน
จะรีบมาเร็วพลันให้เห็นหน้า
จะแล้งฝนร้อนหนาวส่งข่าวมา
ขอแค่เธอเรียกหามาแน่นอน

You've Got a Friend เพลงจากปี 1971. ผลงานการประพันธ์ของ Carole King,ในอัลบั้ม Tapestry of 1971, แต่ที่ได้รับความนิยมจากนักฟังเพลงกลับเป็นเสียงร้องของ James Taylor เจ้าของผลงานเพลง Handy Man

โดยที่เขานำเอาผลงานของ เธอมา cover ใหม่ ในปีเดียวกับที่เธอออกเพลงนี้มา เป็นเพลงอันดับ 1 ของ The Billboard Hot 100 อันดับ 4 ของ The UK Singles Chart. และเป็นเพลงอันดับ 1 ของ The Easy Listening charts ชนะเลิศรางวัล Grammy Awards โดยผลงานของ James Taylor ได้รางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยม Best Male Pop Vocal Performance และของ Carole King ได้รางวัลเพลงแห่งปี Song of the Year.

เพลงชุดแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวของเขาออกจำหน่ายในประเทศอังกฤษ ในเดือนธันวาคม ปี 1968 และในอเมริกาเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1969 Album ชุดที่สองเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ! ที่เป็นครั้งยิ่งใหญ่ในของชีวิตเขา และมันก็คือจุดเริ่มต้นของ James Taylor อย่างแท้จริง

ปี 1971 นิตยสาร Time Magazine" ยกย่องให้เขาเป็นผู้ที่มีบทบาทในการเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเวลานั้น และได้ขึ้นหน้าปกรูปของเขาด้วย ช่วงเดือนเมษายน ปี 1971 เขาผลิตผลงานออกจำหน่ายพร้อมๆกับการออกคอนเสร์ตไปทั่วอเมริกาจนเป็นที่รู้จักทั่วไปและขึ้น Top 10 และYou’ve Got a Friend ผลงานซิงเกิลของเขาได้ขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนกรกฎาคมได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ ปี 1971

เพลงนี้เขียนโดยเพื่อนสาวของเขา Carole King ศิลปินหญิงเดียวอีกคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในช่วงนั้น มีหลายครั้งที่ Carole King ได้เข้าไปช่วยเล่นเปียนโนให้กับงานเพลงของเขา และหลายครั้งที่ James Taylor ไปร่วมเล่น Acoustic Guitar ให้กับ Carole King แต่วันที่สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงของเขาคือวันที่ 3 พฤศจิกายน 1972 เมื่อเขาประกาศแต่งงานกับ Carly Simon ระหว่างการออกอากาศถ่ายทอดสดทางรายการวิทยุ ในกรุงนิวยอร์ค

James Taylor ประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเพลงเคยทั้งผ่านงานการแสดงหนังและเคยร่วมงานกับศิลปินดังๆอย่าง Art Garfunkel เมื่อครั้งนำบทเพลงเก่าอย่าง (What a) Wonderful World มาทำในรูปแบบของการประสานเสียง ซึ่งมีความไพเราะมากได้ขึ้นอันดับที่ 20 ของชาร์ตเพลง ในปี 1978

ปัจจุบัน James Taylor ยังคงออกเดินสายแสดง Concert อยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ผลงานในช่วงหลังๆเปลี่ยนแปลงจากช่วงปี 1970 ไปมาก แต่อย่างไรก็ตาม แต่เขาก็ยังคงเป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องด้วย สำเนียง Acoustic Guitar ที่มีท่วงทำนองดนตรีของยุค 70


Carole Klein เป็นชื่อดั้งเดิมของเธอ เกิดเมื่อปี 1942 ที่ Brooklyn ใน New York, เธอเริ่มชีวิตศิลปินจากการเป็นนักเปียนโน ก่อนที่จะผันตัวเองมาเป็นนักร้องในแนว quartet ที่เรียกว่า The Co-Sines ที่โรงเรียน Abraham Lincoln High School และที่ Queens College, เธอได้รู้จักกับ Paul Simon, Neil Sedaka , Gerry Goffin.
เพลงในแนวที่เธอถนัดคือ FOLK, POP, ROCK ว่ากันว่าเธอรวมเอาความเป็น The Beatles , The Byrds ,Aretha Franklin ,Dusty Springfield, มาไว้ในตัวเธอ จนมีคนเรียกเธอว่าราชินีเพลง ในยุค 70-80

ยิ่งไปกว่านั้น Carole King ยังเล่นเปียนโนได้ดีและเป็นนักแต่งเพลงที่ดีอีกคนหนึ่ง ผลงานของเธอขายได้มากกว่า 25 ล้านอัลบั้ม, ยิ่งมีที่ปรึกษาชั้นดีคือ
Gerry Goffin นักแต่งเพลงมือเซียนที่เป็นสามีของเธอเอง ทำให้ทั้งคู่ประพันธ์
เพลงร่วมกัน และอยู่เบื้องหลังนักร้องดังอีกหลายๆคน

ผลงานของเธอเองได้แก่ "Will You Love Me Tomorrow" ฮิตในปี 1961 จนมาถึง ปี 1989 "One Fine Day" และ "I Feel The Earth Move," ก็กระหึ่มไปทั้งวงการเพลง และ "It's Too Late,"
ก็เป็นอีก 1 รางวัลให้กับชีวิต นั่นคือรางวัล Record of the Year

สำหรับเพลงที่เธอร้องกินใจคนไทย จนทำให้ทุกคนรู้จักเธอดีนั่นคือเพลง You've got a friend ซึ่งก็ได้รับรางวัล Song of the Year

ปี 1973, Carole King เปิด free concert ที่ Central Park ในกรุง New York City และทำลายสถิติฝูงคนเข้าชมอย่างล้นหลามกว่า 100,000 คน
รางวัลที่การันตีผลงานของเธอคือ Grammy Awards เมื่อปี พ.ศ.1971
ทั้ง Record, Song, Album of the Year และ Best Pop Vocal Performance ตกเป็นของเธอคนเดียวในปีนั้น



You've got a friend - Carole King





When you're down and troubled
And you need some loving care
And nothing nothing is going right
Close your eyes and think of me
And soon I will be there
To brighten up
even your darkest night

You just call out my name
And you know wherever I am
I'll come running to see you again
Winter spring summer
or fall
All you have to do is call
And I'll be there
You've got a friend

If the sky above you
Grows dark and full of clouds
And that old north wind begins to blow
Keep your head together
And call my name out loud
Soon you'll hear me knocking at your door

You just call out my name
And you know wherever I am
I'll come running to see you again
Winter spring summer
or fall
All you have to do is call
And I'll be there

Ain't it good to know
that you've got a friend
When people can be so cold
They'll hurt you and desert you
And take your soul if you let them
Oh but don't you let them

You just call out my name
And you know wherever I am
I'll come running to see you again
Winter spring summer
or fall
All you have to do is call
And I'll be there
You've got a friend

เมื่อเธอตกต่ำและไม่สบายใจ
และเธอต้องการความรักเอาใจใส่
และไม่มีสิ่งใดเป็นได้ดังตั้งใจ
จงหลับตาลงแล้วนึกถึงฉัน
และในไม่ช้าฉันจะอยู่ตรงนั้น
เพื่อส่องสว่าง
แม้เป็นคืนอันมืดมิดที่สุดของเธอ

เพียงแค่เธอเรียกชื่อฉัน
แล้วเธอจะรู้ ไม่ว่าฉันอยู่ในที่แห่งใด
ฉันจะรีบมาหาเธออีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็น ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน
หรือ ฤดูใบไม้ร่วง
แค่เธอเรียกฉันเท่านั้น
แล้วฉันจะไปอยู่ตรงนั้น
เธอมีฉันเป็นเพื่อนอยู่หนึ่งคน

หากฟากฟ้าเบื้องบนตัวเธอ
มืดดำและเต็มไปด้วยเมฆครื้ม
และกระนั้นสายลมเหนือแต่หนหลังเริ่มพัดโชย
จงตั้งสติให้มั่น
แล้วเรียกชื่อฉันออกมาดัง ๆ
ไม่ช้า เธอจะได้ยินเสียงฉันเคาะประตูบ้านเธอ

เพียงแค่เธอเรียกชื่อฉัน
แล้วเธอจะรู้ ไม่ว่าฉันอยู่ในที่แห่งใด
ฉันจะรีบมาหาเธออีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็น ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน
หรือ ฤดูใบไม้ร่วง
แค่เธอเรียกฉันเท่านั้น
แล้วฉันจะไปอยู่ตรงนั้น

ไม่ดีหรอกหรือที่ได้รู้
ว่าเธอมีเพื่อนอยู่หนึ่งคน
เมื่อผู้คนเฉยชา
พวกเขาทำเธอเจ็บปวดและทอดทิ้งเธอ
และพาจิตวิญญาณเธอไปราวกับเธอยอมให้เขาทำ
โอ้ เพียงแต่อย่ายอมปล่อยให้พวกเขาทำ

เพียงแค่เธอเรียกชื่อฉัน
แล้วเธอจะรู้ ไม่ว่าฉันอยู่ในที่แห่งใด
ฉันจะรีบมาหาเธออีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็น ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน
หรือ ฤดูใบไม้ร่วง
แค่เธอเรียกฉันเท่านั้น
แล้วฉันจะไปอยู่ตรงนั้น
เธอมีฉันเป็นเพื่อนอยู่หนึ่งคน





You've got a friend - Carole King You've got a friend - Carole King You've got a friend - Carole King

More than words - Extreme

More than words - Extreme


Nuno Bettenco สมาชิกวง Extreme หนึ่งในนักกีตาร์ชั้นนำของโลก เกิดที่โปรตุเกส และอาศัยที่หมู่เกาะอาซอเรส ในยุคทศวรรษที่ 70 ครอบครัวจึงย้ายไปอยู่รัฐแมสซาชูเส็ตส์ สหรัฐอเมริกา ตอนเด็กๆใฝ่ฝันทำงานด้านดนตรีและเป็นคนรักกีฬามาก โดยเฉพาะวิ่ง ฮอกกี้ และฟุตบอล ตอนเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย จึงเริ่มเล่นกลอง ขณะที่พี่ชาย -Louie เล่นกีตาร์และเป็นคนสอนให้นูโน่ แต่นูโน่เป็นคนที่เรียนได้ช้ามาก จนพี่ชายแทบจะถอดใจ

ดังนั้น เพื่อไม่ให้พี่ชายผิดหวัง นูโน่เริ่มฝึกซ้อมด้วยตัวเองหนักขึ้น และเมื่อเลื่อนชั้นขึ้น ม.5 จึงตัดสินใจเลิกเล่นกีฬา หันมาเล่นกีตาร์แบบจริงจัง เมื่อฝีมือกล้าแกร่งขึ้นจึงเข้าร่วมวงตามคำเชิญของแกรี่ เชอโรน สมาชิกผู้ก่อตั้งวงเอ็กซ์ตรีมในเวลาต่อมา ทั้งสองชอบแนวเพลงแบบเดียวกัน

ทั้งสองออกซิงเกลชุดแรกในปี 2532 ในชุด "Kid Ego" ยอดขายไปได้ แต่อัลบั้มต่อมาไม่ค่อยเวิร์ก จนกระทั่งมาถึง More Than Words แนวอะคูสติกบัลลาด ที่ติดชาร์ตฮอต 100 ในปี 2534 จากนั้นวงจึงออกทัวร์ยุโรป และเพลงจึงค่อยๆไต่อันดับขึ้นไป



More than words - Extreme





Saying I love you
การพูดว่า “ฉันรักคุณนั้น”
Is not the words I want to hear from you
ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยินจากคุณ
It's not that I want you
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้คุณ
Not to say, but if you only knew
พูดบอกผม แต่หากเพียงแค่คุณได้รู้
How easy it would be to show me how you feel
ว่ามันง่ายแค่ไหน ที่จะแสดงความรู้สึกของคุณให้ผมได้เข้าใจ
More than words is all you have to do to make it real
สิ่งที่มากกว่าคำพูดนั้น คือทั้งหมดที่คุณจะต้องทำเพื่อให้มันเป็นจริง
Then you wouldn't have to say that you love me
แล้วเมื่อนั้น คุณก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่าคุณรักผม
Cos I'd already know
เพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจ


*What would you do if my heart was torn in two
คุณตะทำอย่างไร หากหัวใจของผมแตกเป็นสอง
More than words to show you feel
สิ่งที่มากกว่าคำพูดเท่านั้นที่จะแสดงความรู้สึกของคุณ
That your love for me is real
ว่าความรักของคุณนั้นเป็นความรักที่แท้
What would you say if I took those words away
คุณจะพูดได้อย่างไร ถ้าผมเอาคำเหล่านั้นออกไป
Then you couldn't make things new
เมื่อนั้นคุณก็จะไม่สามารถทำอะไรใหม่ๆ
Just by saying I love you
จากการพูดว่า “ฉันรักคุณ”
More than words
มากกว่าคำพูดใดๆ

Now I've tried to talk to you and make you understand
ตอนนี้ ผมกำลังพูดกับคุณและทำให้คุณเข้าใจว่า
All you have to do is close your eyes
ทุกอย่างที่คุณต้องทำนั้น เพียงแค่ปิดตาลง
And just reach out your hands and touch me
ค่อยเอื้อมมือของคุณออกมา สัมผัสผม
Hold me close don't ever let me go
กอดผมไว้ อย่าให้ผมจากไป
More than words is all I ever needed you to show
สิ่งที่มากกว่าคำพูดนั้น เป็นทั้งหมดที่ผมต้องการให้คุณแสดงออกมา
Then you wouldn't have to say that you love me
คุณไม่จำเป็นจะต้องพูดว่าว่าคุณรักผม
Cos I'd already know
เพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว





More than words - Extreme More than words - Extreme More than words - Extreme

My Truly Truly Fair - Guy Mitchell

My Truly Truly Fair - Guy Mitchell


"My Truly, Truly Fair" เป็นเพลง pop ที่ประพันธ์โดย Bob Merrill.ในปี 1951 และเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดของเขาที่ร้องโดย Guy Mitchell. ดนตรีโดย Mitch Miller and his orchestra เมื่อ 30,เมษายน 1951. จำหน่ายโดย Columbia Records

ขึ้นถึงอันดับ 2 ของชาร์ทวารสารบิลบอร์ด.เมื่อปี 1951 จากเสียงร้องของ Guy Mitchell และได้รางวัล The Billboard magazine อยู่บนชาร์ทนานติดต่อกันถึง 8 สัปดาห์ จากนั้นยังมีนักร้องอีกหลายคนนำเพลงนี้ไปบันทึกใหม่เช่น Vic Damone ร้องไว้ในปี 1951 ได้ขึ้นถึงอันดับ 4 ต่อมา Freddy Martin (อันดับ18) Freddy Martin & His Orchestra ( ร้องโดย: Merv Griffin) เมื่อปี 1951(อันดับ 28) Ray Anthony & His Orch. (ร้องโดย : Tommy Mercer) เมื่อปี 1951 Tommy Dorsey & His Orch. ในปี 1951 Spade Cooley with Jimmy Wakely & Ginny Jackson ในปี 1951 และ Mitch Miller and his Orchestra

คุณนคร มังคลายน นำมาใส่เนื้อไทยและใช้ชื่อว่า "อยากกินกาแฟ" เป็น 1 ในเพลงแปลงที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นเช่นกัน

"อยากกินกาแฟ"


ตื่น... ก็กินกาแฟ
เที่ยง... ก็กินกาแฟ
ถึงตอนเย็น ... ก็กินก็แฟ

กลางดึก ... ก็กินกาแฟ
เช้ากินกาแฟ...วันยังค่ำก็กินกาแฟ

อยากจะกินกาแฟทีไร เจ๊กไม่ชงให้กิน
เดือนที่แล้วยังไม่เฉ่งบิล ต้องงดกินกาแฟ

ตื่น... ก็กินกาแฟ
เที่ยง... ก็กินกาแฟ
ถึงตอนเย็น.. ก็กินกาแฟ

กลางดึก... ก็กินกาแฟ
เช้ากินกาแฟ ..วันยังค่ำก็กินกาแฟ

ไม่มีเงินจะกินกาแฟ เลยต้องกินแต่น้ำ
ไม่ว่าเช้าหรือไม่ว่าค่ำ ดื่มน้ำแทนกาแฟ

ตื่น... ก็กินกาแฟ
เที่ยง.. ก็กินกาแฟ
ถึงตอนเย็น.. ก็กินกาแฟ

กลางดึก... ก็กินกาแฟ
เช้ากินกาแฟ... วันยังค่ำก็กินกาแฟ



My Truly Truly Fair - Guy Mitchell





(Oh, ho!!)
(Truly, truly fair, truly, truly fair)
(How I love my truly fair)
(There's songs to sing her, trinkets to bring her)
(Flowers for her golden hair)

CHORUS
My, truly, truly fair
Truly, truly fair
How I love my truly fair (his truly fair)
There's songs to sing her, trinkets to bring her
Flowers for her golden hair

(Oh, ho!!)
Some men plow the open plains, some men sail the brine
But I'm in love with a pretty little maid, for work I have no time

She's
CHORUS

(Oh, ho!!)
Once I sailed from Boston Bay bound for Singapore
But one day out and I missed her so, I swam right back to shore

Back to my truly fair
Truly, truly fair
How I love my truly fair
There's songs to sing her, trinkets to bring her
Flowers for her golden hair

(Oh, ho!!)
I love she and she loves me, pardon if I boast
At times we fight all the live-long night 'bout who loves who the most

CHORUS

(Oh, ho!!)
Soon I'm gonna marry her, love her till I die
There ain't no livin' on love alone but still I'm gonna try

(Truly, truly fair, truly, truly fair)
(How I love my truly fair)
There's songs to sing her, trinkets to bring her
Flowers for her golden hair (for her golden hair)

How I love my truly fair (loves his truly fair)
Wow! How I love my truly fair (how he loves his truly fair




My Truly Truly Fair - Guy Mitchell My Truly Truly Fair - Guy Mitchell My Truly Truly Fair - Guy Mitchell

Moonlight Swim - Elvis Presley

Moonlight Swim - Elvis Presley


ยุคที่วัยรุ่นคลั่งไคล้วัฒนธรรมอเมริกันเพราะได้รับแรงบันดาลใจ จากเพลงและภาพยนตร์ของโลกตะวันตก ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง บลูฮาวาย ของ เอลวิส เพรสลีย์ มีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนบนเกาะทำให้ใครๆยุคนั้น
พากันคลั่งไคล้ชายหาดกับทะเลสีฟ้าตามไปด้วย

Moonlight Swim เป็นเพลงในอัลบั้มบลูฮาวาย ของเอลวิส เพรสลีย์
ราชาร้อคแอนด์โรลที่คนทั้งโลกรู้จัก ออกสู่ตลาดเพลงเมื่อปี 1961 อาศัยความทุ้มนุ่มของเสียงร้อง และจังหวะกระชับที่ชวนให้นึกถึงระบำฮาวาย
ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงโรแมนติคอีกเพลงที่กินใจคอเพลงรุ่นเก่า เนื้อหาของเพลงสะท้อนถึงความสุขสงบของเกาะฮาวายซึ่งเป็นรัฐที่ประเทศ
สหรัฐึอเมริกาประกาศเมื่อปี 2502 ให้เป็นรัฐที่ 50 (รัฐสุดท้ายของอเมริกา)

ฮาวายเป็นหมู่เกาะที่มีประชากรประมาณ 1.2 ล้านคน อยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐอเมริกามาก ทำให้เวลา
ต่างกันกับรัฐอื่นๆประมาณ 5 ชั่วโมง และมีชื่อเสียงทางด้าน
การท่องเที่ยว เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงาม นักท่องเที่ยวจึง
หลั่งไหลเข้าไปเที่ยว ปีละ 7 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวมูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท/ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายในฮาวายแพงกว่าปกติประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆในสหรัฐอเมริกา เพราะสิ่งของทุกสิ่งต้องขนไปจากแผ่นดินใหญ่

ฮาวายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ชาวญี่ปุ่นชอบมาก เพราะไม่ต้องขอวีซ่าเข้าเมือง และใช้เวลาบินประมาณ 7 ชั่วโมง จึงเป็นแหล่งที่นิยมของชาวญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ คนอเมริกันจริงๆมีไม่มาก ถ้าพบเห็นชาวพื้นเมืองออกมาเต้นระบำฮาวายให้ดู นั่นแหละคือชาวเกาะฮาวายจริงๆ


Moonlight Swim - Elvis Presley




Let's go on a moonlight swim.
Far away from the crowd.
All alone upon the beach.
Our lips and our arms
Close within each other's reach will be (reach will be)
on a moonlight swim (on a moonlight swim)

Let's go on a moonlight swim
To the raft we can race
After just a little while
I'll sit and pretend
That you're on a desert isle with me.
on a moonlight swim (on a moonlight swim)
Though the air is cold
With kisses oh so sweet(so sweet)
I'll keep you warm
So very warm ........from head to you feet

Let's go on a moonlight swim
We're in love and above
There's a crazy gold balloon
That sits winking down
And inviting us to come on in ( come on in)
On a moonlight swim.
Though the air is cold
With kisses oh so sweet
I'll keep you warm
So very warm ......from head to you feet

Let's go on a moonlight swim
We're in love and above
There's a crazy gold balloon
That sits winking down
And inviting us to come on in( come on in)
On a moonlight swim
on a moonlight swim
on a moonlight swim




Moonlight Swim - Elvis Presley Moonlight Swim - Elvis Presley Moonlight Swim - Elvis Presley

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

The Lion Sleeps Tonight - The Tokens

The Lion Sleeps Tonight - The Tokens


เพลงฮิตของอาฟริกาใต้ ที่ชื่อ "Mbube" กลายมาเป็นเพลงฮิตในอเมริกาและอังกฤษ "Mbube" สิงโตของซูลู ถูกบันทึกแผ่นครั้งแรกโดย Solomon Linda,และวง The Evening Birds เมื่อปี 1939 และถูกขายไปประมาณ 1,000 แผ่นเมื่อปี 1940 ในแนวเพลง A Cappella Music

"Wimoweh" จากท่อนคอรัสใน Intro ของเพลง ซึ่งมีความหมายว่าคุณคือสิงโต 'uyimbube' ในครั้งนั้นถูกพวกนักล่าเผ่าซูลูนำไปร้องกันเป็นเพลงเพื้นบ้านของพวกเขา

Solomon Linda เล่าว่าเขาซื้อสิทธิ์มาในราคา 10 shillings (ประมาณ 87 cents).ในวันที่เขาเสียชีวิตเมื่อปี 1962 ตอนนั้นอายุได้ 53 ปี เขามีเงินในธนาคารแค่ 22 เหรียญ ภรรยาเขาไม่ได้ทำหลุมศพอย่างดีให้ด้วยซ้ำ

หลังจาก Pete Seeger นักร้องวงโฟล์ค นำมาทำใหม่ออกเป็นคอนเสิร์ตในเดือนพฤศจิกายน 1951จนกลายเป็นผลงานที่โดดเด่นของเขา และสมาชิกในวง The Weavers. ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าต้นฉบับเป็นของ Linda ที่ชื่อ "Mbube".

Pete Seeger อธิบายไว้ในผลงานเพลงของเขาเมื่อปี 1952 ว่าราชาองค์สุดท้ายที่รู้จักกันดีคือสิงโตชาก้า และ Chaka The Lion.ยังไม่ตายเมื่อชาวยุโรปเข้ามายึดครองหากแต่เขายังหลับอยู่ และจะตื่นขึ้นมาสักวันหนึ่ง เพลงนี้ในตอนนั้นเข้าอันดับ A Top Twenty Hit ในอเมริกา

หลายปีต่อมา ศิลปินกว่า 150 คนบันทึกเพลงนี้โดยใช้ชื่อว่า "The Lion Sleeps Tonight." มีหลากหลายเวอร์ชั่นทั้ง แจส โฟล์ค ป้อป และแนวเต้นรำ จนปี 1994 วอลทซ์ ดิสนีย์ นำเค้าโครงไปสร้างเป็นหนังใช้ชื่อว่า "The Lion King."

ในเวอร์ชั่นของ The Tokens นำไปทำใหม่เมื่อปี 1955 ซึ่งพวกเขาคือนักเรียนจากโรงเรียน Brooklyn's Abraham Lincoln High School.โดยมีนักร้องนำที่ชื่อ Neil Sedaka แต่ตอนนั้นใครๆรู้จักพวกเขาในชื่อของ The "Linc-Tones"และเพลงนี้ถูกเรียกกันว่า “Tonight I Fell In Love” (“Dom-dooby-dom-wo-oh, dooby dooby”).ได้รับการจัดเข้าเป็นอันดับที่ 15 ของ The National Charts.

จนถึงปี 1960 "Mbube" ถูกนำมาทำใหม่ในอัลบั้ม RCA Victor. และชื่อของ Linda จึงได้รับเครดิตอีกครั้งโดยวง The Weavers และ the Kingston Trio แต่เนื้อเพลงถูกแต่งใหม่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับเดิมบ้าง
หลายปีผ่านไป สมาชิกThe "Linc-Tones" เปลี่ยนแปลงไปหลายคน จนถึงปี 1961 "The Lion Sleeps Tonight" ร้องนำโดย Jay Siegel จากวง "The Tokens" ก็นำเพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 1 ของ The billboard นานติดต่อกันถึง 3 สัปดาห์

จากปี 1962 - 1970 วงต่างๆนำเพลงนี้ขึ้นอันดับชาร์ท Top 100 มากกว่า 9 ครั้ง และมีคนนำเพลงนี้ไปร้องหลายคนเช่น Neil Sedaka, Hank Medress, Eddie Rabkin และ Cynthia Zolitin ฯ

ตั้งแต่นั้นมา "Wimoweh" / "The Lion Sleeps Tonight" กลายเป็นเพลงฮิตที่ใครๆรู้จักจนปัจจุบัน.

เพลง"คืนนี้สิงโตนอนหลับ" ก็ฮือฮาในอินเทอร์เนตเมื่อมีผู้ทำ "คลิปน่ารักๆ"ของเจ้าฮิปโป ที่กำลังร้องเพลง และมีเจ้าตูบช่วยเป็น Dancer นำมาเผยแพร่ จนกลายเป็นเพลงที่ทุกคนถามหาอีกครั้ง



The Lion Sleeps Tonight - The Tokens





We-de-de-de, de-de-de-de-de de, we-um-um-a-way (drum fill)
We-de-de-de, de-de-de-de-de de, we-um-um-a-way

A wimoweh, a-wimoweh a-wimoweh, a wimoweh
A wimoweh, a-wimoweh a-wimoweh, a wimoweh
A wimoweh, a-wimoweh a-wimoweh, a wimoweh
A wimoweh, a-wimoweh a-wimoweh, a wimoweh

In the jungle the mighty jungle the lion sleeps tonight
In the jungle the quiet jungle the lion sleeps tonight

Near the village the peaceful village the lion sleeps tonight
Near the village the quiet village the lion sleeps tonight

Hush my darling, don't fear my darling. The lion sleeps tonight.
Hush my darling, don't fear my darling.The lion sleeps tonight


ในป่า, ป่าเงียบ, สิงโตหลับคืนนี้
ในป่า, ป่าอันยิ่งใหญ่สิงโตหลับคืนนี้

ในหมู่บ้านในหมู่บ้านที่เงียบสงบ, สิงโตหลับคืนนี้
ในหมู่บ้านในหมู่บ้านที่เงียบสงบ, สิงโตหลับคืนนี้

Hush ของฉันที่รัก, อย่าร้องไห้รักฉันสิงโตหลับคืนนี้
Hush ของฉันที่รัก, อย่าร้องไห้รักฉันสิงโตหลับคืนนี้




The Lion Sleeps Tonight - The Tokens The Lion Sleeps Tonight - The Tokens The Lion Sleeps Tonight - The Tokens

My Special Angel - Bobby Helms

My Special Angel - Bobby Helms


Bobby Helms ( 15 สิงหาคม,1933 – 19 มิถุนายน,1997 ) นักร้องชาวอเมริกัน ผู้ประสบความสำเร็จกับผลงานเพลงในปี 1957 เขาเกิดในครอบครัวของนักดนตรีที่เมือง Bloomington,รัฐอินเดียน่า บนถนนสายดนตรีเริ่มจากการที่เขาจับคู่ Duo เล่นกับพี่ชายในแนวเพลงคันทรี

เขาทำได้สำเร็จเมื่อปี 1956, จากนั้นจึงมุ่งสู่เมือง Nashville ,รัฐเทนเนสซี และที่นี่เองเขาได้เกิดกับบริษัทแผ่นเสียงที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น Decca Records. แผ่นเสียงชุดแรกของ Helms ในปี 1957 ชื่อ "Fraulein" ขึ้นสู่อันดับ 1 ประเภทเพลง country music และเป็น The Top 40 ของเพลง Pop Music พร้อมๆกัน.

ในปีนั้นเอง เพลง "My Special Angel" ก็ออกวางจำหน่ายและขึ้นถึงอันดับ 1 ของ นิตยสารบิลบอร์ดทั้งประเภท country music และเป็น The Top 10 ของเพลงประเภท Pop Music โดยขึ้นสูงสุดที่อันดับ 7

เนื้อหาของเพลงนี้ "My Special Angel" หรือ "(You are)My Special Angel" ชายหนุ่มบอกว่าเธอคือคนพิเศษสำหรับเขา สวรรค์ส่งเธอมาให้อย่างแท้จริง ยามเธอยิ้ม แสนอบอุ่นดังแสงแดดในฤดูร้อน ยามเธอร้องไห้ช่างงามเหมือนต้นไม้ที่ได้ฝน คำชมสาวของเพลงนี้หวานซึ้งกินใจคนที่กำลังมีความรักในยุคนั้นเป็นยิ่งนัก



My Special Angel - Bobby Helms





(Angel, angel, whoa-oh-oh-oh, ooh)
(Angel, angel, whoa-oh-oh-oh, ooh)

You are my special angel
เธอคือนางฟ้าพิเศษสุดของฉัน
Sent from up above
ที่ส่งมาจากฟ้าเบื้องบน
The Lord smiled down on me
พระผู้เป็นเจ้ายังยิ้มลงมาให้ฉัน
And sent an angel to love (to love)
แล้วก็ได้ส่งนางธิดาหนึ่งมา เพื่อรัก
You are my special angel
เธอคือนางฟ้าที่สุดพิเศษของฉัน
Right from paradise
ที่ตรงมาจากสรวงสวรรค์
I know that you're an angel
ฉันรู้ดีว่า เธอคือเทพธิดา
Heaven is in your eyes
สวรรค์อยู่ในดวงตาทั้งคู่ของเธอ

A smile from your lips
รอยยิ้มจากริมฝีปากของเธอ
Bring the summer sunshine
นำมาซึ่งแสงแดดคิมหันต์
The tears from your eyes bring the rain
น้ำตาจากดวงตาเธอนำมาซึ่งสายฝน
I feel your touch, your warm embrace
ฉันรู้สึกถึงความสัมผัสของเธอ,ความกอดอันโอบอุ่น
And I'm in heaven again
แล้วฉันก็ขึ้นสวรรค์อีกครั้ง

You are my special angel
เธอคือนางฟ้าพิเศษสุดของฉัน
Through eternity
ตลอดไปนิรันดร์กาล
I'll have my special angel
ฉันจะขอมีนางฟ้าพิเศษของฉันไว้
Here to watch over me
ทีนี้เพื่อให้ดูแลเฝ้าดูแลฉัน

(A smile from your lips)
(Brings the summer sunshine)
(The tears from your eyes bring the rain)
I feel your touch
Your warm embrace
And I'm in heaven again

You are my special angel
Through eternity
I'll have my special angel
Here to watch over me (watch over me)
Here to watch over me
(Angel, angel)
(Whoa-oh-oh-oh, oh, oh, oh, oooooh)




My Special Angel - Bobby Helms My Special Angel - Bobby Helms My Special Angel - Bobby Helms

The river of no return - Marilyn Monroe

The river of no return - Marilyn Monroe


River of No Return สายน้ำไม่ไหลกลับ หนังตะวันตกที่ยิ่งใหญ่ในอดีตเมื่อปี 1964 ของ 20th Century Fox กำกับโดย Otto Preminger แสดงนำโดย Robert Mitchum และ Marilyn Monroe หนังเรื่องนี้มีฉากธรรมชาติที่สวยงามของ Banff and Jasper National Parks ในเมือง Alberta ประเทศ Canada. และ Bow River คือสายน้ำที่เป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้ มีเพลงเอกเป็นชื่อเดียวกับชื่อหนัง คือ River of No Return

หลังจากมารีลีนเสียชีวิตไปแล้วกางเกงยีนส์สามส่วนที่เธอใส่แสดงในหนังเรื่องนี้ กลายเป็นของมีค่าที่นักสะสมตั้งราคาไว้ที่ $42,550 ส่วนกางเกงขายาวที่เธอใส่เล่นในหนังเรื่องนี้ถูกขายไปในราคา £4,100 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2006

Marilyn มีที่มาจากชื่อ ของดาราละครเพลงยุค 1920's คือ Marilyn Miller ส่วน Monroe มาจากนามสกุลเดิมของคุณยายของเธอ จีน นอร์แมน Marilyn Monroe เป็นชื่อที่เธอใช้ในขณะเป็นนางแบบ และบทบาทการแสดงในภาพยนตร์แทบทุกเรื่องมักจะมีฉากที่ มาริลีน ร้องเพลงอยู่ด้วยเสมอ มาริลีนเคยให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจและเป็นสิ่งที่เธอถนัดที่สุดที่สุดคือ การร้องเพลง และการแสดงประกอบ

Marilyn Monroe นางแบบและนางเอกที่ทั้งสวยและเซ็กซี่จนกลายเป็นจุดขายในเรื่องของ Sex Symbols ซึ่งมีนักแสดงไม่มากนักที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นทั้งนางแบบ นักแสดงและร้องเพลง เพลงนี้เธอร้องด้วยตนเอง และเธอยังเป็นต้นแบบของนักร้องอีกหลายคนจนปัจจุบัน แม้แต่ เอลตัน จอห์น ยังเคยร้องเพลงอุทิศให้กับเธอมาแล้วกับ Candle In The Wind ในปี 1973 ซึ่งใน เนื้อหาเปรียบชีวิตของมาริลีน เหมือนเปลวเทียนและอุปสรรค ความเหงา โดดเดี่ยว เหมือนสายลมที่เป่าจนเทียนดับลงไป ซึ่งต่อมาเพลงนี้กลับมาฮือฮาอีกครั้งเมื่อ เอลตั้น จอห์น นำไปร้องในพิธีศพให้แก่ Lady Diana

ก่อนจะมาเป็นดาวดวงเด่นของฮอลลีวู้ด เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดมาท่ามกลางความรันทด ชีวิตของเธอช่างแสนเศร้า Norma Jeane (ชื่อก่อนเป็นนักแสดง)หาทางออกให้ครอบครัวที่ย่ำแย่ของเธอด้วยการแต่งงานตั้งแต่อายุ 16 และพอ 18 เธอก็หย่าร้าง หันไปใช้ชีวิตเป็นสาวโรงงาน โชคชะตามาหักเหเมื่ออายุ 18 หลังจากก้าวมาเป็นนักแสดงในชื่อใหม่ที่คนทั้งโลกรู้จักในเวลาต่อมานั่นคือ Marilyn Monroe และสิ่งที่ทำให้เชื่อว่า"ไม่ธรรมดา"ของเธอ คือคำพูดประโยคเหล่านี้


" I'm not interested in money. I just want to be wonderful "
.......................Marilyn Monroe

"If I'm a star, then the people made me a star"
...........................Marilyn Monroe

"All I want is to be loved, for myself and for my talent"
..................................Marilyn Monroe


บั้นปลายชีวิตเธอ มีข่าวว่ามาริลิน มอนโร เสียชีวิตที่ แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา โดยแม่บ้านของมอนโรชื่อ ยูนิส มูร์เรย์ เป็นผู้พบเห็น บ้างว่าเธอเสียชีวิตเพราะใช้ยาเกินขนาด แต่มีข่าวลับๆเชื่อกันว่าเธอเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม

เนื่องจากมาริลีน มอนโร ตกเป็นข่าว "กิ๊ก" กับประธานาธิบดีเคเนดี้ คดีนี้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ปี ค.ศ.1962 โดยในวันที่ 4 สิงหาคม ตำรวจได้รับแจ้งว่าดาราสาวรวยเสน่ห์สัญลักษณ์ของฮอลลีวู้ด "ฆ่าตัวตาย" ตอน 04.25 น. ทั้งที่สตูดิโอภาพยนตร์ ของทเวนตี เซนจูรี ฟ็อกซ์ โทรไปแจ้งตั้งแต่สี่ชั่วโมงก่อน ทำไมศพจึงดูไม่เหมือนคนฆ่าตัวตายเลย ทำไมถึงพบยาอยู่ในเลือด แต่ไม่มีในกระเพาะอาหาร ทำไมไม่มีรอยเข็มฉีดยา หรือว่า มาริลีนถูกหมอ เคนเนดี หรืออาจะเป็นซีไอเอฆ่า หรืออาจเป็นฝีมือมาเฟีย จึงยังเป็นที่กังขามาจนปัจจุบัน

โอกาสได้กลับมาเปิดกว้างอีกครั้งสำหรับผู้ต้องการนอนหลับตลอดกาล อยู่ข้างบนของดาราสาวมาริลีน มอนโร ผู้เสียชีวิตจากการรับประทานยานอนหลับเกินขนาดด้วยวัย 36 ปีเมื่อปี 2505

สตีฟ มิลเลอร์ นายธนาคารและโบรกเกอร์การจำนองอสังหาริมทรัพย์ ผู้เป็นตัวแทนของนางเอลซี่ ปอนเชอร์ ผู้เปิดประมูลขายช่องบรรจุศพเหนือช่องบรรจุศพของดาราสาวคนดังทางเว๊ปไซต์ประมูลออนไลน์ อี-เบย์ แถลงเมื่อวันอังคารว่า ชาวญี่ปุ่นผู้ใช้นามแฝงว่า "O***S." และชนะการประมูลเมื่อวันจันทร์ ในวงเงิน 4.6 ล้านดอลลาร์ (161 ล้านบาท) ได้แจ้งถอนตัวโดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาเรื่องการชำระเงิน

ปัจจุบัน ช่องดังกล่าวบรรจุศพของนายริชาร์ด ปอนเชอร์ สามีของนางเอลซี่อยู่ โดยเขาซื้อต่อมาจาก" โจ ไดแมคจิโอ "ดาราเบสบอล อดีตคนรักของมอนโร แต่เธอตัดสินใจจะย้ายศพสามีออกไปไว้ในช่องบรรจุศพอีกช่องที่อยู่เหนือขึ้นไป ซึ่งเขาซื้อไว้เช่นกันเพื่อเธอจะได้เปิดประมูลหาเงินไปจ่ายเป็นค่าบ้านในเบเวอรี่ ฮิลล์ที่ติดจำนองอยู่กว่า 1 ล้านดอลลาร์ (35 ล้านบาท)

หนังสือพิมพ์" เดอะ ลอสแองเจลีส ไทม์ส"รายงานว่า มีผู้เข้าร่วมประมูลอื่นอีก 11 คน ผู้เสนอเงินอย่างน้อย 4.5 ล้านดอลลาร์ หลังจากเริ่มการประมูลเมื่อ 14 สิงหาคมด้วยวงเงินเริ่มต้น5 แสนดอลลาร์ ( 17.5 ล้านบาท) ซึ่งมิลเลอร์กล่าวว่าได้ติดต่อพวกเขาแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ติดต่อกลับ และว่าพวกเขามีเวลาจนถึง 18.00 น.วันอังคาร ( 08.00 น.วันนี้ตามเวลาในไทย)
สุสานเหนือมาริลีน มอนโรมีคนได้ไปในราคา 156 ล้านบาท ลอสแองเจลิส 25 ส.ค.- สตรีหม้ายชาวอเมริกันขายสุสานสามีที่อยู่เหนือสุสานมาริลีน มอนโร เซ็กซ์ซิมโบลของวงการฮอลลีวูดแล้วหลังปิดประมูลที่ราคา 4.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 156.4 ล้านบาท)

นางเอลซี ปอนเชอร์ เผยว่า จะนำเงินที่ได้ไปชำระสินเชื่อบ้าน เธอเปิดประมูลสุสานสามีที่เวสต์วูดวิลเลจเมมโมเรียลปาร์คในนครลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นสุสานคนดังหลายคน ตั้งราคาประมูลเริ่มต้น 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17 ล้านบาท) มีผู้เสนอราคาประมูล 21 ราย และเพิ่งปิดประมูลไปเมื่อวันจันทร์ ด้านเว็บไซต์อีเบย์เผยว่า ยินดีเปิดเผยรายละเอียดการประมูลทันทีที่ผู้ซื้อและผู้ขายสรุปการซื้อขายเรียบร้อยแล้ว

นายริชาร์ด ปอนเชอร์ สามีของเธอซื้อสุสานนี้จากนายโจ ดิแมกจิโอ นักเบสบอลชื่อดังระหว่างที่นายดิแมกจิโอ กำลังเดินเรื่องหย่าจากมอนโร เมื่อปี 2497 เซ็กซ์ซิมโบลของวงการฮอลลีวูดเสียชีวิตเมื่อปี 2505 ขณะอายุ 36 ปี ส่วนนายปอนเชอร์ ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2529 ขณะอายุ 81 ปี นางปอนเชอร์ เตรียมย้ายกระดูกของเขาไปไว้ในสุสานที่เดิมตั้งใจไว้เป็นที่ฝังร่างเธอเอง ส่วนเธอจะฌาปนกิจหากสิ้นลมหายใจแล้ว



The river of no return - Marilyn Monroe





If you listen you can hear it calls, wai-a-ree
There is a river called the river of no return
Sometimes it´s peaceful and sometimes wild and free
Love is a traveller on the river of no return
Swept on forever to be lost in the stormy sea

Wai-a-ree I can here the river calls
(No return , no return) no return , no return
(Wai-a-ree)

I can hear my lover calls " come to me "
I lost my love on the river
And forever my heart will yearn

Gone , gone forever down the river of no return
Wai-a-ree , wai-a-ree , wai-a-ree
He´ll never return to me
(No return , no return)





The river of no return - Marilyn Monroe The river of no return - Marilyn Monroe The river of no return - Marilyn Monroe